Daily Market Outlook (22 พ.ย.59)

Daily Market Outlook (22 พ.ย.59)

ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นช่วยตลาดแต่ความกังวลเงินทุนไหลออกกดดัน

คาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้วันนี้ตามทิศทางของตลาดภูมิภาคเช้านี้ที่เปิดบวกจากหุ้นพลังงานในสหรัฐเมื่อคืนที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นจากแนวโน้มที่ OPEC และผู้ผลิตนอกกลุ่มจะตกลงกันได้อาทิตย์หน้าเรื่องการลดปริมาณการผลิตรายประเทศ อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของหุ้นไม่น่าไปได้ไกลจากความกังวลว่าเงินทุนจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่จากการที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังคงเพิ่มขึ้น ภายในประเทศ เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.2% YoYในไตรมาส 3/59 ต่ำกว่าที่ตลาดและเราคาด เราปรับลดการคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตของประเทศลงเป็น 3.3% ปีนี้ และ 3.5% ปีหน้า (โปรดดูรายงานฉบับเต็มวันนี้)


หุ้นเด่นวันนี้: PTTGC (ราคาปิด 60.75 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 72.00 บาท)

บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล เป็นหุ้นเด่นในวันนี้จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่เราประเมินจะแข็งแกร่งโดดเด่นในช่วงที่เหลือของปีและต่อเนื่องในปีหน้า โดยคาดกำไรสุทธิงวด 4Q59 จะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ด้วยการปรับตัวสูงขึ้นโดดเด่นจากช่วงครึ่งปีแรกรวมไปถึงงวด 3Q16 ที่ผ่านมาเนื่องจากจะไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานที่จะฉุดผลการดำเนินงานลง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเดินเครื่องโรงงงานหลักๆ ได้อย่างเต็มกำลังการผลิต นอกจากนั้นเราคาดราคาขายผลิตภัณฑ์ Polyolefinsของหน่วยธุรกิจโอเลฟินส์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ จะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้ขั้นพื้นฐานในภูมิภาคที่ยังแข็งแกร่ง ส่วนต่าง (Spread) ราคาผลิตภัณฑ์ HDPE ในภูมิภาคเทียบแนฟทาที่ยังคงยืนตัวในระดับสูงยังคงสะท้อนความต้องการใช้ที่แข็งแกร่งในภาวะขาขึ้นของวัฏจักรดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ในส่วนของค่าการกลั่นภูมิภาคนับตั้งแต่ต้นงวด 4Q59 จนถึงปัจจุบันได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อรับกับฤดูหนาวที่คาดการณ์กันว่าจะหนาวเย็นกว่าปกติ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนุนธุรกิจโรงกลั่นโดยตรง ขณะที่เรายังคงเชื่อว่าอุตสาหกรรมอะโรเมติกส์ทั่วโลกได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้วและน่าจะกระเตื้องขึ้นหลังจากภาวะอุปทานล้นตลาดลดลงโดยรวม โดยรวมแล้ว เราประเมินว่า PTTGC จะจบปีนี้ด้วยการปรับตัวสูงขึ้นของกำไรปกติที่ระดับ 6% ก่อนจะฟื้นตัวเต็มที่ในปีหน้าโดยมีอัตราการเติบโต 17% YoY ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนหลักจากวงจรขาขึ้นของโอเลฟินส์ภายใต้การเดินเครื่องโรงงานผลิตอย่างเต็มที่ทั้งปี นอกเหนือจากแนวโน้มกำไรสุทธิที่คาดว่าจะดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้นในปัจจุบันยังให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจอยู่ที่ราว 5.0 ต่อปี ประกอบกับ Valuation ที่ถูกด้วยค่า PBV ปี 60 ที่ต่ำเพียง 1.1 เท่า เมื่อเทียบกับในอดีต ในส่วนของ Price Pattern ของ PTTGC มีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง จากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal โดยหาก Price Pattern ของ PTTGC สามารถปิดตลาดรายเดือน (พฤศจิกายน 2559) ได้เหนือ 61 บาท ก็จะทำให้ Price Pattern ของ PTTGC กลับมามีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นทันที จากการกลับมาเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่ ทั้งนี้เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ PTTGC จากความแข็งแกร่งในระยะสั้นและระกลาง มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 62.75 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 67 บาท ตามลำดับ ซึ่ง PTTGC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 58.25 บาท (แนวต้าน: 61.00, 61.50, 62.00; แนวรับ 60.25, 59.75, 59.25)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• เศรษฐกิจไตรมาส 3/59 เติบโต 3.2% ระบุโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เทียบกับ 3.5% ในไตรมาส 2/59 และค่าคาดการณ์เฉลี่ย 3.4% อัตราการเติบโตที่ลดลงเป็นเพราะการลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายครัวเรือนชะลอ ขณะที่การลงทุน
ภาคเอกชนก็ยังไม่ดี สภาพัฒน์คาด GDP ปี 60 น่าจะโตช่วง 3-4% ขณะที่ปรับการเติบโต GDP ปีนี้ลงจาก 3.3% เป็น 3.2% เนื่องจากคาดว่าไตรมาส 4 น่าจะชะลอตัวเพราะความเชื่อมั่นอ่อนแอและการลดกิจกรรมบันเทิงจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชสวรรค์ (Bangkok Post)ความเห็น: ทางเราปรับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจลงเป็น 3.3% จากเดิม 3.5% และเป็น 3.5% จาก 4% สำหรับปี 60 สำหรับรายละเอียด โปรดอ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มของเราที่ออกไปแล้ววันนี้

• รัฐบาลวางแผนที่จะให้ของขวัญปีใหม่แก่คนจน ซึ่งมีรายได้น้อยกว่า 1 แสนบาทต่อปี เป็นเงินระหว่าง 1,500 และ 3,000 บาทต่อคน เฉพาะคนจนที่ลงทะเบียนเพื่อขอรับสวัสดิการรัฐในระบบ E-payment ซึ่งมีประมาณ 8 ล้านคนในขณะนี้ โดยจะให้ ครม.ให้ความเห็นชอบโครงการนี้วงเงิน 1.6 หมื่น ลบ. (Bangkok Post)

ต่างประเทศ:

• ราคาพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันจันทร์ จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นโดยมีสาเหตุจากการเทขายเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้กระตุ้นให้มีผู้ซื้อรายใหม่ ๆ ถึงแม้ว่าการขายพันธบัตรอายุ 2 ปีครั้งใหม่ได้รับความสนใจค่อนข้างน้อยก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นถึงระดับ 2.36% ก่อนถอยกลับมาสู่ระดับ 2.34% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ซื้อขายที่ประมาณ 1.80% ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งล่าสุด (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อวันจันทร์ หลังจากแข็งค่าติดต่อกัน 10 วันเนื่องจากนักลงทุนได้กำไรมากหนุนจากการที่โดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ลดลง 0.1% ที่ระดับ 101.12 ส่วนเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.2% อยู่ที่ 1.0601 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากอ่อนค่ามากที่สุดในวันศุกร์ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดนับแต่เดือนธ.ค. 58 (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อวันจันทร์ โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น อีกทั้งหุ้นเฟซบุ๊คปิดบวกด้วยเช่นกัน นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มเวชภัณฑ์และอื่น ๆ ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Reuters)

• นักลงทุนย้ายเงินลงทุนจำนวน 4.57 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเข้ามาลงทุนในกองทุน Equity ETF ที่จดทะเบียนในสหรัฐ ติดต่อกัน 8 วัน จากข้อมูล ณ วันพฤหัสที่แล้วของ TrimTabs Investment Research ซึ่งเป็นการไหลเข้าของเงินทุนที่มีปริมาณมากที่สุดในรอบ 8 วัน (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันจันทร์ปรับตัวสูงขึ้นหนุนจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เนื่องจากนักลงทุนเดินหน้าซื้อหุ้นวัฏจักรและเทขายหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำออกมา บนความคาดหวังว่านโยบายทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของ Donald Trump จะหนุนให้เงินเฟ้อทั่วโลกขยายตัวสูงขึ้น (Reuters)

• Mario Draghiประธาน ECB กล่าวว่า ECB มีความจำเป็นที่จะต้องคงระดับนโยบายทางการเงินในปัจจุบันไว้เพื่อที่จะบรรลุเป้าเงินเฟ้อโดยมองว่าแรงขับเคลื่อนเงินเฟ้อต่างๆ ในยุโรปนั้นไม่เพียงพอด้วยตัวเอง (Reuters)

เอเชีย:

• แผ่นดินไหวแรงในตอนเหนือของญี่ปุ่นในวันอังคาร กระทบระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไปชั่วขณะหนึ่งและทำให้เกิดสึนามิซัดภูมิภาคเดียวกับที่เคยถูกทำลายล้างไปเมื่อครั้งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ สึนามีและภัยพิบัตินิวเคลียร์ปี 54 แผ่นดินไหวอยู่ที่ระดับ 7.4 แมกนิจูด ศูนย์กลางอยู่ที่ที่ทำการชายฝั่งฟุกุชิมะ ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสหลังแผ่นดินไหวเมื่อตอนตี 5.59 (20.59 GMT ของวันจันทร์) (NHK)

• จากการแลกเปลี่ยนกันในช่วงสั้นของตัวแทนจากไต้หวันและจีน ณ การประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) พัฒนาไปในทางบวก จีนได้ตัดการติดต่อกับไต้หวันใน มิ.ย. หลังประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ปฏิเสธ “นโยบายจีนเดียว” ที่ถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนซึ่งแยกออกไปโดย จะต้องคืนกลับมาแม้ต้องใช้กำลัง (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันบวก 4% สู่จุดสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์ในวันจันทร์ หนุนโดยการคาดการณ์เพิ่มขึ้นว่า OPEC จะหาทางลดกำลังการผลิตภายในสัปดาห์หน้า Brent บวก 2.04 ดอลลาร์สหรัฐ (+4.4%) ปิดที่ 48.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าบวก 1.8 ดอลลาร์ (+4%) ปิดที่ 47.49 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังแตะ 47.80 ดอลลาร์ (Reuters)

• ทองคำดีดกลับวันจันทร์ จากจุดต่ำสุดรอบ 5 เดือนครึ่ง เพราะดอลลาร์ย่อลงมาหลังจากบวกไปเยอะในสัปดาห์ที่แล้วจากการเก็งว่าจะมีการใช้จ่ายด้านการคลังมากขึ้นหลังจาก Trump ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อขึ้น ราคาทองคำตลาดจรปิดบวก 0.3% ไปอยู่ที่ 1,212 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองคำสหรัฐล่วงหน้าส่งมอบ ธ.ค. บวกไป 0.09% ปิด 1,209.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)