บิ๊ก‘ เกียรตินาคิน’ ขายหุ้น 'ปรับโครงสร้าง' หรือ 'ทำกำไร?'

บิ๊ก‘ เกียรตินาคิน’ ขายหุ้น 'ปรับโครงสร้าง' หรือ 'ทำกำไร?'

กลุ่ม "ผู้บริหารระดับสูง" ของธนาคาร "เกียรตินาคิน" รายงานการขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น "100%" จากปีที่แล้ว

ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน พบว่าผู้บริหารระดับสูงของธนาคารเกียรตินาคม (KKP) อย่าง ประชา ชำนาญกิจโกศล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายบริหารหนี้ และศราวุธ จารุจินดา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจ รายงานการขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง

โดย ประชา ชำนาญกิจโกศล รายงานการขายหุ้นออกมา 2 ครั้ง เมื่อต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา รวม 15.62 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 43.52 บาท ขณะที่ ศราวุธ จารุจินดา รายงานการขายหุ้นต่อเนื่องรวม 10.21 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 43.48 บาท

อย่างไรก็ตามปริมาณหุ้นที่ขายออกมานี้ รวมกันคิดเป็นเพียง 0.07% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

การทยอยขายหุ้นออกมานี้ มุมหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นเพียงการขายทำกำไรหลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดที่ราว 30 บาท แต่ราคาเฉลี่ยที่ขายออกไปนั้นก็ถือว่าค่อนข้างต่ำจากราคาล่าสุดที่ขึ้นไปแตะ 60 บาทหรือ100% จากปีก่อน

อีกมุมหนึ่ง การขายหุ้นออกมาต่อเนื่องอาจเป็นการส่งสัญญาณถึงการปรับโครงสร้างการบริหารงานอีกครั้ง หลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรก บริษัทปรับไปแล้ว และเมื่อต้นเดือน มิ.ย. ก็ปรับโครงสร้างการบริหารและจัดกลุ่มธุรกิจใหม่ โดยรวมศูนย์การบริหารมาที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนเดียวกันทั้งกลุ่ม

อุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า การขายหุ้นของผู้บริหารออกไปนี้เป็นเรื่องปกติของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่การปรับโครงสร้างองค์กร อย่างการขาย บล.เคเคเทรด และหันมามุ่งเน้นลูกค้าสถาบันเป็นหลัก น่าจะส่งผลบวกต่อบริษัทซึ่งมีฐานลูกค้าเหล่านี้อยู่มาก

“หุ้น KKP ที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีก่อน ในเชิงพื้นฐานแล้วเป็นเพราะธุรกิจเช่าซื้อที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จากเอ็นพีแอลที่ลดลงจาก 6.6% เหลือ 5.93% ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันธุรกิจหลักทรัพย์ก็ได้ผลบวกจากมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น อย่างไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นถึง 30% และตลาดทุนที่ฟื้นตัวกลับมานี้ก็ช่วยให้ดีลใหญ่ๆ ที่บริษัทเคยทำจะมีออกมามากขึ้น”

ทั้งนี้ บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บริษัททุนภัทร และกรรมการ ธนาคารเกียรตินาคิน เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งที่ทั้ง 2 บริษัทประกาศควบรวมกันว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อหนีตาย หรือเพื่อลดต้นทุน แต่เพื่อเพิ่มรายได้และกำไร และหลังการควบรวมกิจการครั้งนี้ หวังว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องได้ประโยชน์

โดยผลลัพธ์ที่ปรากฎออกมาภายหลังการควบรวมกิจการครั้งนั้น ตั้งแต่ปี 2554 กำไรสุทธิของธนาคารเกียรตินาคิน เพิ่มขึ้นจากระดับ 2,858 ล้านบาท โดยพุ่งขึ้น 18.6% และ 30.2% เมื่อปี 2555 และ 2556 ขึ้นมาเป็น 3,391 ล้านบาท และ 4,418 ล้านบาท ตามลำดับ หลังจากนั้นเศรษฐกิจชะลอลงจากภาวะในประเทศ ทำให้กำไรสุทธิในปี 2557 ลดลงถึง 40.3% เหลือ 2,636 ล้านบาท ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ 3,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.8% เมื่อปี 2558 และล่าสุด คือ งวด 9 เดือน ของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตถึง 75.23% มาอยู่ที่ 4,094.57 ล้านบาท