โมบิลิตี้พลิกธุรกิจโรงแรมรับยุคดิจิทัล

นายสมบูรณ์ ศุขีวิริยะ ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทโคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับกิจการโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สัญชาติไทย กล่าวว่า บริษัทพร้อมนำระบบบริหารจัดการแพลตฟอร์มดิจิทัล เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมในไทย เพิ่มความคล่องตัวบริการลูกค้าผู้เข้าพัก โดยเฉพาะพัฒนาซอฟต์แวร์รองรับโมบาย ดีไวซ์ เช่น แทบเล็ต สมาร์ทโฟน เครื่องพีโอเอส (POS) 

โดยเชื่อว่า จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้บริหาร และพนักงาน ในโรงแรมได้ใช้ ทั้งเรื่องจองห้องพัก ตรวจสอบค่าใช้จ่าย สถานะในด้านต่างๆ ของระบบงานภายในโรงแรมผ่านหน้าจอ หรือผ่านแดชบอร์ดได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา

"ระบบซอฟต์แวร์โรงแรมที่จะอยู่ยั้งยืนยงได้ ต้องตอบโจทย์ความต้องการของงานโรงแรมได้เสร็จสรรพทุกด้าน เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ๆ ปรับให้ทันสมัยตลอดเวลา และให้มีมาตรฐานที่สามารถใช้เป็นซอฟต์แวร์ของโรงแรมทั้งในและนอกประเทศได้อย่างไม่ติดขัด"

ที่ผ่านมา โรงแรมสัญชาติไทยรวมถึงโรงแรมระดับ 3 ดาว ยังไม่ได้นำระบบดิจิทัลไปบริหารจัดการอย่างแพร่หลาย เมื่อเทียบกับเชนโรงแรมใหญ่ๆ จากต่างประเทศ แต่จากนี้เชื่อว่า โรงแรมขนาดกลางๆ รวมถึงโรงแรมสัญชาติไทย จะเริ่มปรับระบบบริหารจัดการของตัวเองให้รองรับแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น 

"คลาวด์ ก็เป็นส่วนสำคัญ ที่จะเห็นกลุ่มธุรกิจโรงแรมให้ความสำคัญมากขึ้น แม้ยังมีความกังวลเรื่องซิเคียวริตี้ ส่วนซอฟต์แวร์บนแพลตฟอร์มดิจิทัลของโคแมนชี่ เรามีบริการดูแลให้กับกลุ่มลูกค้าพร้อมมีเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ลูกค้าสามารถเลือกเป็นโมดูลที่จะใช้บริการได้ เช่น ใช้เฉพาะซอฟต์แวร์สำหรับแผนกต้อนรับส่วนหน้า (Front office) , แบ็ค ออฟฟิศ ห้องอาหาร หรือเป็นโมดูลด้านบิสิเนส อินเทลลิเจนซ์ (BI) เป็นต้น" 

โดยอนาคตจะเห็นโมบาย ดีไวซ์ จอทัชสกรีนในห้องอาหาร ห้องพัก ลูกค้าที่พักสามารถสั่งอาหาร สั่งบริการต่างๆ ได้ด้วยตัวเองผ่านหน้าจอ มีฟังก์ชั่นบนโมบายสำหรับแม่บ้านทำความสะอาด 

 นายสมบูรณ์ กล่าวด้วยว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอการเติบโตในทุกภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจที่ยังเติบโตสวนกระแสภาคธุรกิจอื่น คือ ธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจโรงแรมต้องการซอฟต์แวร์บริหารจัดการโรงแรมมากขึ้น โดยมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์บริหารจัดการโรงแรมมีมูลค่ารวมราว 500-600 ล้านบาท

ปัจจุบันซอฟต์แวร์โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล ถูกใช้ในโรงแรมกว่า 700 แห่ง 18 ประเทศในทวีปเอเชีย ได้แก่ เมียนมา, เวียดนาม, ลาว, ออสเตรเลีย, กัมพูชา, ฮ่องกง, มาเก๊า, จีน, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, อินโดนีเชีย, ฟิลิปปินส์, อินเดีย, มัลดีฟส์, มาเลเซีย, ศรีลังกา, สิงคโปร์ และไทย

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปี 2559 จะมีรายได้เติบโตราว 20% หรือมีรายได้ราว 150 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 100 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือราว 30% ในธุรกิจซอฟต์แวร์โรงแรม จากมูลค่าตลาดรวมราว 500 ล้านบาท