ผันผวนตามผลประกอบการ และการแข็งค่าของเงินสหรัฐฯ

ผันผวนตามผลประกอบการ และการแข็งค่าของเงินสหรัฐฯ

เลือกเก็งกำไรรายตัวในหุ้นที่ยังฟื้นตัวตามหลังดัชนี

UOBKH แนวโน้มตลาดวันนี้ :  ผันผวนตามผลประกอบการ และการแข็งค่าของเงินสหรัฐฯ

เรายังคงมุมมองว่าตลาดมีบรรยากาศการซื้อขายเชิงบวกที่สนับสนุนด้วยผลประกอบการบจ.ไตรมาส 3/59 ในหุ้นขนาดใหญ่ ที่ยังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง แม้ SET Index มีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนในเชิงลบหรือปรับลดลงบ้าง จากรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และจิตวิทยาของหุ้นภูมิภาควันนี้ที่เป็นลบ จากราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งมาจากทั้งจากการแข็งค่าของเงินสหรัฐฯ และความวิตกกำลังการผลิต แหล่งน้ำมันบัสซาร์ดของอังกฤษในทะเลเหนือเตรียมที่จะเริ่มผลิตน้ำมันอีกครั้งในวันอังคารหรือพุธ หลังจากที่หยุดซ่อมบำรุงตามแผนมาเวลาหลายเดือน (180,000 บาร์เรลต่อวัน)

อย่างไรก็ตามคามปัจจัยในประเทศ ยังคงแข็งแกร่ง ทั้งนี้กระทรวงการคลังยืนยันมุมมองการขยายตัวของเศรษฐกิจจาก 4 ปัจจัย ทั้งการบริโภค ลงทุน-ท่องเที่ยว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมที่แตะ 63.4 ปรับเพิ่มเป็นเดือนที่ 3 สูงสุดในรอบ 6 เดือน และยังมีนโยบายการคลังและการเงินช่วยขับเคลื่อนช่วงที่เหลือของปี จะยังคงเป็นบวกต่อการบริโภคและหุ้นกลุ่มค้าปลีก นอกจากนี้ กลุ่มเช่าซื้อ คาดได้รับอานิสงค์จากการฟื้นของการบริโภคสินค้าคงทุน โดย ยอดขายรถยนต์เดือน ก.ย.เพิ่มขึ้น 2.9% ขณะที่ยอดจดทะเบียนจักรยานยนต์ ขยายตัว 13.4%

กลุ่มพลังงาน เรามองรอเก็งกำไรในเชิงตั้งรับ หลังอาจมีแรงทำกำไรระยะส้น จากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่หุ้นถ่านหินอาจได้รับจิตวิทยาลบช่วงสั้นจากข่าว คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้กฟผ. ลงทุนและเพิ่มทุนสำหรับซื้อหุ้นบริษัท Adaro Indonesia (AI) ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย แต่เราคาดไม่มีผลกระทบต่อทางพื้นฐานอย่างมีนัยวำคัญต่อหุ้นที่เราวิเคราะห์

แนวรับ/แนวต้าน : 1490-1495, 1480/1505-1510 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 70% : พอร์ตหุ้น 30%

คำแนะนำทางกลยุทธ์ : เลือกเก็งกำไรรายตัวในหุ้นที่ยังฟื้นตัวตามหลังดัชนี (laggard) หุ้นสาธารณูปโภคขนาดเล็ก หุ้นกลุ่มเช่าซื้อจักรยานยนต์ และทยอยสะสมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น กลุ่มที่อิงกับการลงทุนและการบริโภคในประเทศ หลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นกลุ่มบันเทิงเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดประมาณการและอาจรวมถึงคำแนะนำหลังรายงานผลประกอบการไตรมาสนี้ // หุ้น top pick เชิงกลยุทธ์ KBANK, JWD, PSTC

ประเด็นเก็งกำไรเชิงกลยุทธ์

หุ้น SET100 ที่ laggard (เทียบ 6 ต.ค.): KBANK (-9.33%), JWD* (-7.45%), IFEC* (-5.39%), TU (-5.02%), BCP (-3.82%)

หุ้นสาธารณูปโภคขนาดเล็ก: PSTC*, TSE*, CWT*

หุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น (เงินเฟ้อ): BLA*, TIP*, EASTW*

หุ้นเช่าซื้อจักรยานยนต์: TK*, S11* และ GL*

(* หุ้นที่ไม่อยู่ในการวิเคราะห์ของ UONKH // หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ ผู้ลงทุนควรพิจารณากำหนดจุดตัดขาดทุน ราว 3-5%)

หุ้นแนะนำทางพื้นฐาน

KBANK (210) : รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/59 +15% qoq, 7.3% yoy ซึ่งถือว่าแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามราคาหุ้นทรุดลงหลังผู้เบริหารปรับคาดการณ์ผลการดำเนินงานในปี 2560 ทำให้หุ้น laggard ที่สุดใน SET100 ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER 2016 ที่ 10.3x ใกล้เคียงกลุ่มซึ่งเราประเมินว่าน่าจะทำให้เกิดแรงซื้อกลับจากระดับปัจจุบันได้

CPF (37.00) : คาดผลประกอบการจะสูงที่สุดในช่วง 3Q59 เนื่องจาก 1) ราคาไก่ที่อยู่ในระดับสูงจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากการนำเข้าไก่จากญี่ปุ่น และผลกระทบของการห้ามนำเข้าไก่ปู่ย่าพันธุ์จากสหรัฐตั้งแต่ต้นปี 2558 จากโรคระบาดไข้หวัดนก 2) ธุรกิจกุ้งที่เริ่มฟื้นตัว และ 3) ต้นทุนอาหารสัตว์ที่อยู่ในระดับต่ำ

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน

ปัจจัยภายในประเทศ

+ ครม. เห็นชอบงบกลาง 1.8 หมื่นล้านบาท ส่งผ่านลง 74,455 หมู่บ้านทั่วประเทศ แห่งละ 2.5 แสนบาท หวังช่วยกระตุ้นช่วงบรรยากาศจับจ่ายใช้สอยชะลอ นายกฯ สั่งเน้นโครงการสร้างงาน-เพิ่มรายได้ ห้ามจัดซื้อครุภัณฑ์-ซ่อมแซมอาคาร ขณะ ธ.ก.ส. ออกมาตรการเสริม “ปรับ-ลด” หนี้เกษตรกร คลังหวังช่วยพยุงเศรษฐกิจช่วงบรรยากาศจับจ่ายใช้สอยชะลอ พร้อมออกมาตรการเพิ่มหากจำเป็น (กรุงเทพธุรกิจ)

+ นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังติดตามภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการการคลังและการเงินเพิ่มเติมหากมีความจำเป็น ทั้งนี้มั่นใจว่า แรงส่งทางเศรษฐกิจยังมีมากพอจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป และรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้ (โพสต์ทูเดย์)

- ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เผยสภาพคล่องแบงก์ ก.ย.ตึงตัวสุดในรอบ 9 ปี แต่ยังไม่น่าห่วง ธปท.ประเมินไตรมาส 4 การบริโภคยังไม่ดีขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ชะลอจ้างงานเพิ่ม (มติชน)

ปัจจัยต่างประเทศ

- ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวลงในวันอังคารจากระดับสูงสุดในรอบสองสัปดาห์ ขณะที่รายงานผลประกอบการและการคาดการณ์จากบริษัทในกลุ่มต่างๆ อาทิ กลุ่มสร้างบ้านและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคไม่สามารถช่วยหนุนตลาด ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 53.76 จุดหรือ 0.30% สู่ 18,169.27, ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 8.17 จุดหรือ 0.38% สู่ 2,143.16 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวลง 26.43 จุดหรือ 0.50% สู่ 5,283.40 (รอยเตอร์)

+ ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ปิดตลาดดิ่งลงในวันอังคาร และราคาน้ำมันดิบก็รูดลงไปอีกในช่วงหลังปิดตลาด เนื่องจากการปิโตรเลียมสหรัฐ (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นในระดับที่สูงเกือบ 3 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนธ.ค.ดิ่งลง 56 เซนต์ หรือ 1.1 % มาปิดตลาดที่ 49.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (รอยเตอร์)

+ ดัชนี FTSE 100 ที่ตลาดหุ้นอังกฤษปิดบวกขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน โดยเฉพาะหุ้นบริษัทแองโกล อเมริกัน หลังจากทางบริษัทเปิดเผยรายงานการผลิต อย่างไรก็ดี หุ้นบริษัทขนาดกลางของอังกฤษร่วงลง เนื่องจากโบรกเกอร์ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นกลุ่มนี้ ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดบวกขึ้น 31.24 จุด หรือ 0.45 % สู่ 7,017.64 โดยดัชนีได้รับแรงหนุนจากการร่วงลงของค่าเงินปอนด์ด้วย (รอยเตอร์)

+ ดัชนีนิกเกอิที่ตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นมาที่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนในวันอังคาร ขณะที่เยนที่อ่อนค่าลงเพิ่มความหวังที่ว่า ผลกำไรของผู้ส่งออกจะฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดพุ่งขึ้น 130.83 จุดหรือ 0.76% มาที่ 17,365.25 ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย. (รอยเตอร์)