HMPRO - ซื้อ

HMPRO - ซื้อ

แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/59 ออกมาเชิงบวกแน่นอน

เป็นไปตามคาด

HMPRO รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/59 ที่ 948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% YoY แต่ลดลง 4% QoQ โดยกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกคิดเป็น 68% จากการคาดการณ์ประมาณการปี 2559 ของเรา

ประเด็นหลักจากผลประกอบการ

ยอดขายรวมขยายตัว 7% YoY มาอยู่ที่ 1.38 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายโฮมโปรในประเทศไทยเติบโต 4% YoY เป็น 1.21 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ยอดขายสาขาเดิมลดลง 0.5% เนื่องจากปริมาณฝนที่มากกว่าในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ยอดขายสาขาโฮมโปรในประเทศมาเลเซียสำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 123ล้านบาทเพิ่มขึ้น 11% YoY ในขณะที่ยอดขายเมกาโฮมก้าวกระโดดขึ้น 40% YoY มาอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท หนุนโดยยอดขายจากสาขาใหม่และยอดขายสาขาเดิมที่เติบโตดี

อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.4% ในไตรมาส 3/59 ลดลงจาก 25.9% ในไตรมาส 3/58 จากสัดส่วนยอดขายเมกาโฮมที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรจากสาขาโฮมโปรที่ลดลง (26 % ในไตรมาส 3/59 เมื่อเทียบกับ 26.4% ในไตรมาส 3/58) ตามสัดส่วนสินค้าแบรนด์ตนเองที่ลดลง (สัดส่วนสินค้าแบรนด์ตนเอง 18.9% ในไตรมาส 3/59 เมื่อเทียบกับ 20.4% ในไตรมาส 3/58) อย่างไรก็ตามสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นจาก 18.1 % ในไตรมาส 2/59 เนื่องจากบริษัทเริ่มทยอยเปิดตัวสินค้าเฮ้าส์แบรนด์หลังการปรับปรุงบางส่วนแล้วเสร็จ

สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงมาอยู่ที่ 22.9% ในไตรมาส 3/59 จาก 23.6% ในไตรมาส 3/58 หนุนโดยผลการดำเนินงานของสาขาเมกาโฮมและสาขาโฮมโปรในประเทศที่ดีขึ้น

รายได้ค่าเช่าและการบริการปรับเพิ่มขึ้น 23% YoY มาอยู่ที่ 425 ล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่มาจากการจัดงาน HomePro Fair ครั้งแรก

อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBIT margin) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/58 โดยเพิ่มขึ้น 60bps YoY มาอยู่ที่ 9.6 % ในไตรมาส 3/59

แนวโน้ม

อัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมน่าจะกลับมาเป็นเติบโตในไตรมาส 4/59 เนื่องจากเริ่มเข้าช่วงฤดูการก่อสร้าง อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นของ HMPRO น่าจะกลับมาเป็นช่วงขาขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4/59 เนื่องจากการเปิดตัวสินค้าเฮ้าส์แบรนด์เพิ่มขึ้นและการเปิดร้าน Home Living สามสาขา ซึ่งมีสินค้าจากแบรนด์ตนเองมากกว่า 50%

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

เรายังคงใช้ประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายเดิม

คำแนะนำ

แม้ผลประกอบการไตรมาส 3/59 เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ราคาหุ้นน่าจะมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้ในระยะสั้น เนื่องจากเราเห็นถึงแนวโน้มเชิงบวกหลายอย่าง เช่น อัตราสัดส่วนสินค้าจากแบรนด์เฮาส์ที่เพิ่มขึ้น และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่ลดลง แนวโน้มเหล่านี้จะสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะกลาง ดังนั้นเราคงคำแนะนำที่ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2560 ที่ 13.10 บาท