'ทีแมน' เพิ่มไซส์กองทุนแตะ3หมื่นล้าน ดึง‘ต่างชาติ'

'ทีแมน' เพิ่มไซส์กองทุนแตะ3หมื่นล้าน ดึง‘ต่างชาติ'

"พีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์" เอ็มดีไทคอน แมนเนจเม้นท์ วางเป้าเพิ่มขนาดสินทรัพย์ของกองทุน 3 หมื่นล. ภายในปี60 เพื่อดึงความสนใจจากกองทุน"ต่างประเทศ"

นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ TMAN วางเป้าหมายภายหลังจากการเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ TMAN ไว้ว่า จะผลักดันขนาดสินทรัพย์ของกองทุนให้ถึงระดับ 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2560 เพื่อให้กองทุนภายใต้การบริหารจัดการของเขา มีความน่าสนใจมากขึ้นในสายตานักลงทุนต่างประเทศ 

แนวทางในการเพิ่มขนาดสินทรัพย์กองทุน ประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก แนวทางแรกคือการรวมกองทุนที่ TMAN บริหารอยู่เข้าด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย TFUND (มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท) , TREIT (มูลค่า 7.7 พันล้านบาท) , TLOGIS (มูลค่า 6.7 พันล้านบาท) และ TGROWTH มูลค่า 5.4 พันล้านบาท ส่วนแนวทางที่สองคือหาสินทรัพย์ใหม่นอกเครือไทคอนเข้ากองทุนเพิ่ม

สำหรับแนวทางแรกนั้น พีระพัฒน์ ยอมรับว่าไม่สามารถกำหนดระเวลาได้ชัดเจน เนื่องจากขั้นตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการที่เกี่ยวข้อง ทาง TMAN เพียงแค่วางไว้เป็นคอนเซปต์สำหรับการเติบโตเท่านั้น ระหว่างนี้ ภาระกิจหลักของ พีระพัฒน์ จึงไปอยู่ที่แนวทางที่ 2 คือการสินทรัพย์ใหม่ๆ เข้ากองทุน โดยระหว่างนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 2-3 ราย คาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปภายในปีนี้ หรือต้นปีหน้า 

ส่วนเป้าหมายระยะยาวนั้น พีระพัฒน์ คาดหวังให้ขนาดสินทรัพย์ที่ TMAN บริหารนั้น มีการเติบโตประมาณ 2-3 พันล้านบาทต่อปี หรือเติบโตประมาณ 10% 

การที่ต้องการให้ขนาดสินทรัพย์เพิ่มขึ้นนั้น เพราะต้องการเรียกความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ เท่าที่โรดโชว์มา ส่วนมากแล้วกองทุนต่างประเทศได้กำหนดขนาดสินทรัพย์กองทุนขั้นต่ำไว้ที่ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากกองทุนเล็กกว่านี้ แม้สินทรัพย์จะมีคุณภาพมากแค่ไหน เขาก็ไม่ลงทุนเพราะกังวลกับสภาพคล่อง” 

ทั้งนี้ พีระพัฒน์ เรียกได้ว่าเป็นลูกหม้อคนหนึ่งของไทคอน  ล่าสุดได้เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ TMAN ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารจัดการการลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) โดยจะมีบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจหลักของ TMAN และรับผิดชอบในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนและจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศในอนาคต

พีระพัฒน์ มีประสบการณ์ทำงานในแวดวงพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายโครงการมากว่า 25 ปี ในฐานะวิศวกรโครงสร้างอาคารสูง และที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน และสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนหน้านี้ พีระพัฒน์ ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) TICON และรับผิดชอบในการบริหารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ฯ กลุ่มไทคอนทุกกองทุน ได้แก่ TFUND, TLOGIS, TGROWTH และ TREIT

การคลุกคลีอยู่ในองค์กรไทคอนมา 13 ปี บวกกับประสบการณ์ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้พีระพัฒน์ สามารถเลือกสรรสินทรัพย์น้ำดีเข้ามาสู่กองทุนได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ตาม เขาก็มีตำราเลือกสินทรัพย์ของเขาเอง ซึ่งประกอบด้วย 3 คุณสมบัติหลัก 1.ผลตอบแทน 2.คุณภาพสินทรัยพ์ และ3.คุณภาพผู้เช่า 

คุณสมบัติที่1คือเรื่องของผลตอบแทน เป็นคุณสมบัติที่สำคัญ เพราะผลตอบแทนจากสินทรัพย์นั้นๆ เป็นดัชนีสะท้อนความสามารถของผู้บริหารกองทุน เบื้องต้น พีระพัฒน์กำหนดผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่จะนำเข้ามาในกองทุน ขั้นต่ำ 8%  

ส่วนคุณสมบัติที่2 คือเรื่องของคุณภาพสินทรัพย์  โดยนิยามคำว่าคุณภาพว่าหมายถึงลักษณะทางกายภาพ ซึ่งก็คือสภาพทั่วไปที่สามารถประเมินได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งประสบการณ์ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ที่เขาสั่งสมมา ทำให้ “มอง” ก็รู้ และคุณสมบัติที่3 เป็นเรื่องของคุณภาพผู้เช่า ซึ่งเขาเปรียบเหมือนคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีจากภายใน

สำหรับประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่เขาประเมินว่าน่าสนใจ และน่าจะนำเข้ากองทุน ยังคงเป็นสินทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า เนื่องจากเขาเชื่อว่า  Role Play ของประเทศไทยจากนี้ไป ยังคงเป็นเรื่องของการเป็นศูนย์กลางคลังสินค้าและโลจิสติกส์ของอาเซียน เมื่อเป็นศูนย์กลาง กระแสเงินก็จะไหลเข้ามาต่อเนื่อง และภาคอุตสาหกรรมก็จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวต่อได้

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ตอนนี้มีกระแสความคิดค้าว่าประเทศไทยกำลังจะเสียยุทธศาสตร์นี้ให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่เริ่มตีตื้นขึ้นมาทุกขณะ แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นว่า ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทยจะไม่ถูกแทนที่ในระยะเวลาอันใกล้ ระหว่างนี้ ภาครัฐควรเร่งมือสร้างจุดแข็งอื่นๆ ขึ้นมาเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย