'โอฬาร'เบิกความจำนำข้าวช่วยชาวนา ปัดรู้เห็น'จีทูจี'

'โอฬาร'เบิกความจำนำข้าวช่วยชาวนา ปัดรู้เห็น'จีทูจี'

ศาลฎีกาสืบพยานจำเลยเพิ่ม 2 ปาก "โอฬาร" ยันจำนำข้าวเน้นสร้างรายได้ให้ชาวนา ปัดไม่รู้การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ "ยิ่งลักษณ์" ร้องขอความเป็นธรรม

วานนี้ (7 ต.ค.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดสืบพยานจำเลย นัดที่ 4 คดีโครงการรับจำนำข้าว ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในฐานความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

โดยศาลนัดไต่สวนพยาน 2 ปาก คือ นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และอดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์) และนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานพิจารณาสำนวนคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว

อดีตรองอัยการรับเคยร่วมอบรมวตท.

นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ได้ไต่สวนพยานจำเลย โดยทนายความจำเลยได้นำนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ อดีตรองอัยการสูงสุดเคยเป็นหัวหน้าคณะทำงานพิจารณาสำนวนจำนำข้าวขึ้นเบิกความเป็นพยานปากแรก ระบุว่า ช่วงที่พยานดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการภาค 5 ที่ จ.เชียงใหม่ พยานไม่เคยพูดคุยกับนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาวของจำเลย หรือนักการเมืองพรรคเพื่อไทยแต่ยอมรับว่าเคยเข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาลัยตลาดทุน (วตท.) รุ่น 12 ร่วมกับจำเลยจริง และช่วงระหว่างที่จำเลยเป็นนายกรัฐมนตรีได้รับเชิญเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการหลายคณะ แต่ไม่ได้เป็นการแต่งตั้งโดยรัฐบาล

รวมทั้งยังได้รับการแต่งตั้งเป็นบอร์ดการประปานครหลวงและบอร์ดธนาคารออมสิน ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดออมสินได้มีส่วนร่วมอนุมัติการปล่อยกู้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)เพื่อใช้แก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องแต่ไม่ทราบว่า ธ.ก.ส. จะนำไปใช้ในโครงการจำนำข้าว

“โอฬาร”เผยไม่รู้ขายข้าวจีทูจี

จากนั้นทนายจำเลยได้เบิกตัวนายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย เป็นพยานเบิกความสรุปว่าเป็น 1 ในคณะกรรมการร่างนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย และเป็นผู้ร่วมคิดทำนโยบายรับจำนำข้าวโดยเปรียบเทียบปรับปรุงนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรในรัฐบาลก่อนๆ

โดยวัตถุประสงค์ของโครงการรับจำนำข้าว เพื่อให้ชาวนามีรายได้สุทธิสูงขึ้นตรงข้ามกับนโยบายประกันรายได้ที่ทำให้ชาวนามีเงินลดลง แต่ผลประโยชน์ตกที่พ่อค้าข้าวรายใหญ่เงินที่ใช้ในโครงการทั้งหมดเป็นเงินกู้แต่ได้วางแผนความเสี่ยงเรื่องเงินกู้และดอกเบี้ยไว้แล้ว เพื่อใช้ในการกำหนดราคาจำนำข้าวรายละ 1.5-2 หมื่นบาท ในระหว่างดำเนินโครงการไทยผลิตข้าวเปลือกได้ประมาณ 35 ล้านตันต่อปี และสีแปรเป็นข้าวสารประมาณ 21 ล้านตัน มีการส่งออกจากภาคเอกชนและแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ประมาณ 6-7 ล้านตัน แต่ไม่ทราบรายละเอียดในเรื่องการขายแบบจีทูจี

ส่วนการระบายข้าวเมื่อรัฐบาลได้รับข้าวแล้วขั้นตอนทั้งหมดกว่าข้าวเม็ดแรกจะถูกระบายออกตลาดจะใช้เวลา 6 เดือนแต่การระบายข้าวยังจะต้องขึ้นอยู่กับภาวะความต้องการของตลาดด้วย ซึ่งชาวนาสามารถใช้สิทธิมาไถ่ถอนข้าวได้ตามที่ราคาตลาดและสภาวะเอื้ออำนวย แต่หากไม่มีชาวนามาไถ่ถอนข้าวก็ไม่เป็นผลให้ข้าวค้างสต็อก เพราะข้าวจะไหลออกไปตามการระบายอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าในสต็อกจะต้องมีข่าวเหลืออยู่ เพื่อความมั่นคงด้านอาหารเมื่อเกิดภัยแล้ง

“ยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้เน้นผลิตโดยไม่สนใจคุณภาพข้าวตรงกันข้ามเราให้ความสำคัญกับชาวนา ให้มีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น โดยการนำข้าวที่มีสเปกตามที่รัฐบาลกำหนดมาจำนำจึงจะได้รายละ 1.5 หมื่น ซึ่งการทำนาถ้าไม่ขยัน ไม่ดูแลใส่ปุ๋ย และไม่ใช่เจ้าของที่นาก็จะไม่ได้สเปกตามที่รัฐบาลกำหนด “ นายโอฬาร กล่าว

ทั้งนี้ ศาลได้มีคำสั่งให้เลขานุการศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตรวจสอบกรณีวิเคราะห์บทสัมภาษณ์ของนายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหารบริษัทซีพีอินเตอร์เทรด จำกัด ในรายการทีวีช่องหนึ่ง ตามที่ฝ่ายจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลและให้นัดสืบพยานจำเลยปากต่อไปในวันที่ 21 ต.ค.นี้ เวลา 9.30 น.

ขณะที่การไต่สวนพยานในคดีนี้ ไต่สวนมาแล้ว 13 นัด แบ่งเป็นไต่สวนพยานโจทก์ทั้งหมด 14 ปาก จำนวน 10 นัด ไต่สวนพยานจำเลยแล้ว 5 ปาก จากทั้งหมด 42 ปาก รวม 3 นัด และจะ ครบกำหนดการไต่สวนในเดือน มิ.ย. 2560

“ยิ่งลักษณ์”ฟ้องปชช.ขอความเป็นธรรม

ด้านนางสาวยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการใช้คำสั่งทางปกครองเรียกเก็บค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าวจำนวนกว่า 35,000 ล้านบาท ว่า อยากขอความเห็นใจจากประชาชนว่านโยบายนี้ทำเพื่อช่วยเหลือชาวนาอย่างแท้จริง ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการต่างๆ หลายครั้งแล้ว

ขณะนี้ ยังไม่ได้รับหนังสือทางปกครอง และยังหวังว่ารัฐบาลจะไม่ใช้คำสั่งทางปกครอง แต่ควรใช้กระบวนการทางคดีแพ่ง

ด้านนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวกรณีนายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ว่ามีลักษณะคล้ายกัน ที่รัฐบาลมุ่งทำนโยบายเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้สาธารณะ ส่วนที่ได้ร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานต่างๆ ยังไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด