“สิน” วินัย เรืองฤทธิ์ ขอสร้างรอยเท้าด้วยตัวเอง

 “สิน” วินัย เรืองฤทธิ์ ขอสร้างรอยเท้าด้วยตัวเอง

Vertical Limit คือภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขาบอกกับตัวเองว่าวันหนึ่งโอกาสของเขาต้องมาถึง

เหมือนมีใครบางคนได้ยินเสียงความคิดของเขา เพราะไม่นานนักโอกาสที่ว่าก็มาถึง โรงเรียนพาเขาและเพื่อนๆ ไปเข้าค่ายลูกเสือ และที่นั่นมี “หน้าผาจำลอง” ใช่แล้ว เขาไม่ปฏิเสธที่จะปีนมัน “ตุ๊บ” เขาหล่นลงมาหลังจากปีนได้ไม่สูงนัก แต่การหล่นครั้งนั้นทำให้เขาเริ่มตั้งเป้าหมายแรกๆ ในชีวิตด้วยการบอกกับตัวเองว่า ภายในระยะเวลาที่เข้าค่ายนี่แหละเขาจะต้องพิชิตมันให้ได้ !!!

…และเขาก็ทำได้จริงๆ…

จิ๊กซอว์ความฝันของเด็กน้อย

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังกลับมาจากการเข้าค่ายครั้งนั้น ทันทีที่ถึงโรงเรียนเขาไม่รีรอที่จะเดินไปสมัครเข้าชมรมปีนผาจำลองทันที สมใจอยากล่ะ ตอนนี้หน้าผาจำลองตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาหวังให้หมดคาบเรียนเร็วๆ เขาจะไปปีนให้หายอยากเลย

แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เสียงกริ่งหมดคาบเรียนดังขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการสิ้นสุดเหมือนกับทุกวัน...  มันเป็นเสียงแห่งการเริ่มต้นต่างหาก มันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว “รอฉันก่อนนะเจ้าหน้าผา” เขารีบเก็บกระเป๋าและใส่รองเท้า โอเค ผูกเชือกเสร็จแล้ว วิ่ง !!! นั่นไงๆ เห็นแล้ว มันอยู่ตรงนั้น

“ตุ่บ ตุ่บ ตุ่บ” ตอนนี้ใจเขาเต้นแรงไปหมด เขาได้อยู่พร้อมกับเพื่อนๆ พี่ๆ ในชมรม จิ๊กซอว์ความฝันของเขากำลังถูกหยิบขึ้นมาวางแล้ว ไม่นานนักครูเริ่มสาธิตวิธีปีนให้สมาชิกใหม่ดู เขาดู เขาจำมัน และเขาพร้อมแล้ว เข็มนาฬิกาหมุนไปพร้อมกับสมาชิกในชมรมที่ทยอยผลัดกันปีนขึ้นไปบนนั้น เขาเฝ้าคอยอย่างใจจดใจจ่อ แต่ความจริงไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดเมื่อครูเดินมาบอกว่า “เธอคอยดึงเชือกให้เพื่อนๆ ปีนไปก่อนนะ”  ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ... เขาผิดหวัง... เขาเสียใจ...

“อดทนไว้ๆๆๆ เดี๋ยวเราก็ได้ปีนแล้วแหละ” เขาพร่ำบอกกับตัวเองอยู่เสมอ แต่หนึ่งเดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว ทำไมเวลาของเขายังไม่มาถึงสักที

เอาล่ะ เขารวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าไปหาครูเพื่อบอกว่า ครูครับ ผมยากปีนบ้าง ผมขอปีนบ้างนะครับ ในที่สุดเขาได้ปีน ครูอนุญาตแล้ว เมื่อโอกาสมาถึง เขาหยิบจิ๊กซอว์ตัวเดิมขึ้นมาวางอีกครั้ง เขาปีนมันอย่างบ้าคลั่ง ปีนทุกวันจนครูเห็นแววในตัวเขา และทำให้การแข่งครั้งแรกในชีวิตมาถึง เขาได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งปีนผาจำลองที่จังหวัดเชียงใหม่

จากเด็กดึงเชือกสู่นักกีฬาทีมชาติ

“บ้าไปแล้ว เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงเนี่ย” เสียงนี้มันก้องอยู่ในหัวเขาตลอด การแข่งครั้งแรกมาถึงแล้ว เขาตื่นเต้นมาก แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้คือเวลา “ลุย !!!” เมื่อการแข่งจบลง เขาเป็นผู้แพ้ แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นมันเปิดโลกของเขามากเหลือเกิน เช่น นักกีฬาคนอื่นล้วนมีอุปกรณ์ที่ช่วยในการปีนอย่างเต็มที่ แต่เขามีเพียงชุดกีฬาและรองเท้านันยาง นั่นทำให้เขารู้ว่าอุปกรณ์ที่ดีมีความสำคัญมากต่อการปีนมาก

“บ้าไปแล้ว เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงเนี่ย” คราวนี้เขาอุทานออกมา สาเหตุเพราะเขาติดทีมชาติ !!! เขาได้เป็นตัวแทนระดับเยาวชนไปแข่งปีนผาจำลองที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ครั้งนี้เขาไม่ชนะ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงปีต่อมาเขาได้เป็นแชมป์เยาวชนระดับเอเชียตอน ม.1 !!!

“ผมเป็นคนที่ชอบอะไรท้าทายมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ อะไรที่คนอื่นบอกว่าทำไม่ได้หรอก ผมยิ่งชอบ ผมจะทำมันให้ดู อย่างพอได้แชมป์ระดับเอเชียแล้ว ตอนนั้นเราก็อยากพัฒนาไปอีกขั้น แต่ต้องตัดสินใจว่าเราจะอยู่ระดับเยาวชนเหมือนเดิม หรือจะก้าวไปสู่ระดับโอเพน ซึ่งก็คือระดับมืออาชีพ ใครๆ ก็บอกว่าอย่าขึ้นไปเลย ถ้าขึ้นไปแล้วมันลงมาไม่ได้นะ อยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว แข่งกับเยาวชนด้วยกันไปก่อน...”

...แต่เสียงใครเล่าจะดังกว่าเสียงตัวเอง เขาใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน ใช่ เขาเลือกขึ้นไปลุยกับพวกมืออาชีพ...

การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต

เวลาผ่านไปพร้อมกับบททดสอบและการแข่งขันในแวดวงของมือนักปีนผามืออาชีพ เขาทำมันได้ดีพอสมควร แต่นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาต้องถามตัวเองว่าจะเอาอย่างไรต่อดีกับอนาคต ครั้งนี้เขาต้องเลือก เลือกที่จะต่อจิ๊กซอว์ความฝันของตัวเองต่อไป หรือหยุดมันไว้เพียงเท่านี้…

“ตอนนั้นผมตัดสินใจว่าจะเลิกปีนผาแล้วครับ เพราะมันเหนื่อยครับ เหนื่อยกับปัญหาที่สะสมมาตลอดกับชมรมที่สังกัดอยู่ ซึ่งเราไม่สามารถไปด้วยกันได้อีกแล้วผมเลยขอลาออกจากชมรมครับ”

หลังการลาออก ทางชมรมแจ้งกับเขาว่าจะขออุปกรณ์ที่เคยสนับสนุนคืนทั้งหมด แต่ถ้าเขาต้องการเอากลับไปต้องเสียเงินให้กับชมรมถึงเจ็ดหมื่นบาท ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กนักเรียนคนหนึ่ง จะหาเงินจากที่ไหนได้มากขนาดนั้น เขาจึงเลือกหยุดเส้นทางการปีนผาของตัวเองไว้เพียงเท่านี้

ผมจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่

1 ปีผ่านไป เขาใช้เวลาเหมือนเด็กวัยรุ่นคนอื่น กิน เที่ยว เล่น และมีความสุข แต่ชีวิตวัยรุ่นทั่วไป คงไม่เหมาะกับเขาสักเท่าไหร่

 “คุณหมอที่เคยเป็นนักกีฬาปีนผาทีมชาติเขาโทรมาหาครับ เขารู้ว่าเราเลิกปีนแล้ว เขาบอกเขาอยากให้เรากลับมาปีนอีก กลับมาสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ เรื่องอุปกรณ์ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเขาจัดการเอง จากนั้นก็มีสนามติดต่อมาให้ใช้สนามซ้อมได้ฟรีครับ ก็มีที่ Proclimber และ Urban playgroundclimbing

เมื่อได้ฟังดังนั้นเขาจึงบอกกับตัวเองว่า เขาต้องกลับเข้าสู่วงการอย่างยิ่งใหญ่ เขาจะไม่ใช่เด็กคนเดิมอีกต่อไป เขาจะไม่ทำให้คนที่เป็นห่วงและคาดหวังในตัวเขาต้องผิดหวัง เพียงแต่มันไม่ง่ายเลยหลังจากร้างสนามไปกว่า 1 ปี เขารับรู้ได้ทันทีว่าร่างกายตัวเองอ่อนแอลง เขาจึงฝึกให้หนักกว่าเดิมทั้งวิ่งมาราธอน และเล่นเวทสร้างกล้ามเนื้อ พร้อมกับสมัครลงแข่งด้วยตัวเองตามสนามต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเพื่อเรียกสัญชาตญาณเดิมและสภาพร่างกายที่สมบูรณ์กลับคืนมา

สองปีแรกหลังจากกลับมาเขาลงแข่งไปเพียงไม่กี่สนาม เพราะอยู่ในช่วงฟื้นฟูตัวเอง แต่ปีนี้เขาลุยไปแล้วกว่าสิบสนามทั่วโลก ด้วยการล่าเงินรางวัลจากสนามหนึ่ง เพื่อเป็นทุนไปแข่งอีกสนามหนึ่ง เขาจะทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ปี 2020

“ตอนนี้ผมตั้งเป้าว่าจะต้องเป็นนักกีฬาปีนผาจำลอง 1 ใน 6 คนสุดท้ายทั่วโลกที่ได้เข้าไปแข่งในโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นครับ มันเป็นครั้งแรกของโอลิมปิกที่มีการแข่งกีฬานี้ และมันจะต้องเป็นครั้งแรกของผมเหมือนกันครับ”