‘โพลีนเพาเวอร์’ หวังครั้งใหม่ ‘เลี่ยวไพรัตน์’
การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของ "ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์" ทำให้มีการคาดการณ์ว่ากลุ่ม "เลี่ยวไพรัตน์" มีมูลค่าเพิ่ม
บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) TPIPP บริษัทในเครือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) TPIPL ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) ขนาดใหญ่ และโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน รวมถึงธุรกิจสถานีบริการเอ็นจีวีพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 2,500 ล้านหุ้น ( พาร์ 1 บาท )ส่งผลให้ทีพีไอโพลีน มีสัดส่วนลดลงจาก 100% เหลือ 70% สำหรับผู้ถือหุ้นทีพีไอโพลีน จะได้สิทธิ์จองซื้อหุ้นโพลีนเพาเวอร์ในอัตรา 161.52 หุ้นทีพีไอโพลีน ต่อ 1 หุ้นโพลีนเพาเวอร์ ส่วนเงินที่ได้จากการขายหุ้นไอพีโอบริษัทจะนำไปลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะและโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทำให้โพลีน เพาเวอร์ มีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มจากปัจจุบัน 150 เมกะวัตต์เป็น 440เมกะวัตต์และนำเงินบางส่วนไปใช้คืนเงินกู้ให้ทีพีไอโพลีน 5 พันล้านบาท
เมื่อโพลีนเพาเวอร์เข้าตลาดหุ้น และระดมทุนก้อนโต กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จะน่าเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งหลักๆคือ ทีพีไอโพลีน และกลุ่มตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่
หากย้อนอดีตกลับจะพบว่าตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ มีความโดดเด่นทางด้านการเมืองและธุรกิจ และถือว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งอย่างทุลักทุเล และยาวนาน จนทำให้ต้องสูญเสียความเป็นเจ้าของ บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด(มหาชน)TPI เพราะต้องผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ศาลล้มละลาย และการปรับโครงสร้างใหม่จนกลายมาเป็นบริษัทไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน)IRPC
สิ่งที่คาดว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นโพลีน เพาเวอร์จะได้รับจากการรไอพีโอ คือ การรับรู้มูลค่าหุ้นที่ถือครองเพิ่มขึ้น ส่วนต่างกำไรหุ้น และเงินสดโพลีนเพาเวอร์จะนำมาชำระคืนหนี้ให้กับทีพีไอโพลีน นอกจากนี้จะเห็นว่าราคาหุ้นทีพีไอโพลีนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 13% มาร์เก็ตแคปจากระดับ 4.5 พันล้านบาทเป็น 4.8 พันล้าน
บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า แนวโน้มกำไรทีพีไอโพลีนจะเติบโตตามโพลีนเพาเวอร์ โดยทีพีไอโพลีน จะมีการเปลี่ยนวิธีบันทึกมูลค่าที่ดิน อาคาร อุปกรณ์กลับไปที่ราคาทุน เพื่อไม่ต้องรับรู้ค่าเสื่อมราคาที่สูงเหมือนปัจจุบันแล้วจะนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นจากการขายหุ้นไอพีโอราคาที่สูงกว่าพาร์ มาชดเชยส่วนเกินทุนจากการตีราคาทรัพย์สินที่จะหายไป 1.9 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ฐานกำไรปี 2560 เพิ่มขึ้นจากปี 2559 อีก 1.4 พันล้านบาท จากค่าเสื่อมราคาที่ลดลง ขณะที่ผลประกอบการปี 2560-62 จะเติบโตก้าวกระโดดตามโพลีนเพาเวอร์ หลังโรงไฟฟ้าขยะ 70เมกะวัตต์เริ่มเปิดไตรมาส1ปี2560 ขณะที่ ธุรกิจปูนซีเมนต์รับประโยชน์เต็มที่จากการลงทุนโครสร้างพื้นฐานภาครัฐ และคาดว่าปริมาณการใช้ปูนในประเทศเติบโตปีละ 5% ปี 2560-63 ทำให้รับประโยชน์จากโรงปูนที่ 4 กำลังการผลิต 4.5 ล้านตัน ซึ่งมีการเพิ่มสัดส่วนการขายในประเทศ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 18% เป็น 22% ่
บล.ทิสโก้คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3ปีนี้จะทรงตัว จาก่ธุรกิจก่อสร้าง และฤดูกาลอ่อนแอเป็นปัจจัยที่กดดัน แต่คาดว่าผลประกอบการจะเพิ่มขึ้นในไตรมาส4ปีนี้ เนื่องจากธุรกิจโรงไฟฟ้า และการปรับปรุงมูลค่าตามบัญชีใหม่
จากข้อมูลดังกล่าว อาจประเมินได้ว่ารายได้กลุ่มโรงไฟฟ้าที่มาจากโพลีนเพาเวอร์ น่าจะเป็นตัวผลักดันอนาคตทีพีไอโพลีนให้กับมาเติบโตอีกครั้ง ซึ่งน่าจะถือได้ว่า กลุ่มตระกูลเลี่ยวไพรัตน์มีความหวังรอบใหม่อีกครั้ง