กอช.เล็งปรับพอร์ตลงทุน'หุ้นกู้-หุ้น'10%

กอช.เล็งปรับพอร์ตลงทุน'หุ้นกู้-หุ้น'10%

"กอช." เตรียมเพิ่มสัดส่วนลงทุน"หุ้นกู้-หุ้น" 10% ของเงินกองทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นให้แก่สมาชิก จากลงทุนในตราสารที่ไม่มีความเสี่ยง

นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.)เปิดเผยว่า เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่สมาชิกกองทุนมากขึ้น ในปีหน้าทางกอช.มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนและตราสารทุนรวมจำนวน 10% ของวงเงินกองทุน จากปัจจุบันที่ลงทุนในตราสารที่ไม่มีความเสี่ยง เช่น เงินฝากและตราสารหนี้รัฐบาล

ทั้งนี้ แม้ว่า ขณะนี้ กอช.จะลงทุนในตราสารหนี้ทั้งหมด แต่การลงทุนในตราสารหนี้ในขณะนี้ค่อนข้างผันผวนสูง อัตราผลตอบแทบก็เคลื่อนไหวไปตามเงินทุนไหลเข้าออก และ ความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางต่างประเทศ ทำให้มีผลต่อการสร้างผลตอบแทนแก่สมาชิก

“ขณะนี้ เราลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม แม้จะไม่มีผลต่อราคามากนัก แต่บางจังหวะก็มีความผันผวน ซึ่งเราก็อาศัยอัตราดอกเบี้ยจากการลงทุนเป็นหลัก แต่ในอนาคตหรือประมาณปีหน้า เราจะขยายขอบเขตให้ถึงหุ้นกู้เอกชน และ ตราสารทุน”

ปัจจุบัน กอช.มีสมาชิกประมาณ 5 แสนราย มีเงินกองทุนประมาณ 2 พันล้านบาท ในสิ้นปีคาดว่า สมาชิกองทุนจะอยู่ที่ 1 ล้านราย มีเงินกองทุนประมาณ 3 พันล้านบาท และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนเงินฝากสมาชิกจากเฉลี่ยที่ 2 พันบาทต่อคนต่อปี เป็น 5 พันบาทต่อคนต่อปี

ทั้งนี้ หลังจากที่กอช.เปิดให้ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปสามารถเข้าสมัครเป็นสมาชิกกองทุน ซึ่งหมดระยะเวลาการรับสมัครไปเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้สมาชิกกองทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมากถึง 7.2 หมื่นราย และมีเงินสะสมเพิ่มขึ้น 111.4 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตของสมาชิกถึง 16.6% นับว่า เป็นยอดการสมัครเพียงเดือนเดียวที่ทำให้กองทุนมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ

อัตราการเติบโตของสมาชิกในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีการเติบโตที่ก้าวกระโดดจากค่าเฉลี่ยปกติย้อนหลัง 8 เดือนที่กองทุนมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเดือนละ 6 พันรายโดยประมาณ ทั้งนี้ สมาชิกที่สมัครเพิ่มในเดือนก.ย.ดังกล่าวมีผู้มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปจำนวน 5.3 หมื่นราย อายุ 50-30 ปี จำนวน 1.3 หมื่นราย รวมจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นในเดือนก.ย.ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายกอช.ทั้งสิ้น 6.66 หมื่นราย คิดเป็น 92% ของจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด จึงทำให้กองทุนมีสมาชิกในกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 46% เป็น 53%