Daily Market Outlook (28 ก.ย.59)

Daily Market Outlook (28 ก.ย.59)

ปัจจัยภายในเป็นบวกเผชิญกับปัจจัยต่างประเทศเป็นกลาง/ลบ

คาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบจากปัจจัยภายนอกที่ออกไปทางกลาง/ลบ ในขณะที่การโต้วาทีของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐนั้น Hillary Clinton จะออกนำซึ่งเป็นบวกต่อตลาดแต่ปัญหาด้านกฎหมายที่ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ยุโรป คือ Deutsch Bank Standard Chartered Bank และ Volkswagen กำลังเผชิญ ก่อให้เกิดความวิตกกังวลโดยเฉพาะต่อภาคธนาคารยุโรปเป็นอย่างยิ่ง ปัจจัยภายในประเทศวันนี้เป็นบวกที่สำคัญคือกระทรวงคมนาคมคาด US FAA จะปรับขึ้นอันดับความปลอดภัยของสายการบินไทย ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่งซึ่งจะเป็นบวกต่อสายการบินไทยและสนามบิน นอกจากนี้รัฐบาลยังออกมาตรการสนับสนุนเกษตรกรรอบใหม่ พร้อมกับการอนุมัติโครงการก่อสร้างพื้นฐานอีก

หุ้นเด่นวันนี้: SPALI (23.50 บาท; ซื้อ; 16TP AWS 29.00 บาท)

บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เป็นหุ้นที่เลือกในวันนี้เนื่องจากผลประกอบการที่สดใสของปี 2559-2560 และมูลค่าหุ้นที่ถูกกว่าราคาซื้อขาย โดยเราคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตแข็งแกร่ง 14.5% ในปี 2559 และ 10.4% ในปี 2560 ในปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปี 2559 ที่เพียง8.1 เท่า และคาดว่าจะลดลงเป็น7.3 เท่าในปี 2560 ทั้งนี้ได้ปัจจัยบวกจากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศรวมถึงเครือข่ายระบบขนส่งมวลชนและถนนสายใหม่เชื่อมเขตกรุงเทพมหานคร SPALI มีประสบความสำเร็จทั้งในด้านของยอด Presales รายได้ การเปิดตัวโครงการใหม่ และยอด Backlog โดยในช่วงแปดเดือนแรกของปี 2559 ยอด Presales ของ SPALI สูงถึง 16,000 ล้านบาทคิดเป็น 65% ของเป้าหมายทั้งปีที่24,500 ล้านบาท ในขณะที่รายได้งวดครึ่งแรกของปี 2559 คิดเป็น56% ของประมาณการทั้งปีของเราที่ 22,000 ล้านบาท และ SPALI มีแผนจะเปิดตัวโครงการทั้งหมด36,600 ล้านบาท ในปี 2559เป็นยอดที่เพิ่มขึ้น 8% YoYและส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวในไตรมาส 4/59 ส่วน Backlog ในมือ ณ สิ้นไตรมาส 2/59 เท่ากับ 36,600 ล้านบาท bnซึ่งก็เพียงพอสำหรับ1.5ปีข้างหน้าSPALI นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวโครงการแนวราบแห่งใหม่ ตามถนนสายตัดใหม่ต่าง ๆ เช่น กาญจนาภิเษก-ราชพฤกษ์-ปทุมธานี Price Pattern ของ SPALI มีความแข็งแกร่งในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily & Monthly Buy Signal โดยหากสามารถปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 24.00 บาท ก็จะทำให้กลับมาเกิด Weekly Buy Signal ซึ่งจะเป็นการยืนยันว่าการปรับฐานจบแล้ว โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ 26.50 บาท มีจุด Stop Loss ระยะสั้นรอบนี้อยู่ที่ 22.40 บาท (Resistance: 23.90, 24.30, 24.80; Support: 23.40, 23.00, 22.50)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• FAA อาจจะอัพเกรดสายการบินไทยตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ แถลงว่า US Federal Aviation Administration (FAA) คาดว่าจะอัพเกรดประเทศไทยจากการรักษาความปลอดภัยการบิน Category 2เป็น Category 1ในเดือนหน้าโดย FAA คาดว่าไม่ต้องรอให้มีการปลดล็อคธงแดงจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศหรือ ICAO สำหรับอุตสาหกรรมการบินของไทย(Bangkok Post) ความเห็น: ก่อนที่จะประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม เราถือว่าเรื่องนี้สร้างความเชื่อมั่นในเชิงบวกต่อภาคอุตสาหกรรมการบินของไทย ทั้ง THAI,AAV, NOK, BA ที่มีแนวโน้มปลดความกังวลเรื่องนี้ออกไปได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง THAI ซึ่งให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศมากกว่าสายการบินอื่น

• ไฟเขียวงบโครงการมอเตอร์เวย์ วานนี้ ครม. ได้ไฟเขียวงบลงทุนใน 17 ส่วนของการก่อสร้างโครงการมอเตอร์เวย์เส้นบางปะอิน-นครราชสีมา วงเงิน 2.31 หมื่น ลบ. จากทั้งหมด 40 ส่วนมูลค่า 6.01 หมื่น ลบ. จากเดิม 4 ส่วนได้เสนอประมูลและมีผู้รับเหมาแล้ว งบที่ได้รับอนุมัติล่าสุดจะถูกจัดสรรและเปิดประมูลภายในปีงบประมาณ 60 ขณะที่ส่วนที่เหลือคาดว่าจะได้รับความเห็นชอบงบประมาณและเปิดประมูลได้ในปีถัดไปเช่นกัน (InfoQuest)

• อนุมัติรถไฟเส้นมาบกระเบา-จิระ วานนี้ ครม. ได้อนุมัติการก่อสร้างรถไฟรางคู่ระยะ 132 กม. จากสถานีมาบกระเบาไปถนนจิระนครราชสีมาด้วยเงินลงทุนรวม 3 หมื่น ลบ. ระหว่าง 2559-2563 รัฐบาลคาดโครงการนี้จะเปิดประมูลใน ต.ค.นี้ (Bangkok Post)

• รัฐบาลอนุมัติมาตรการช่วยเหลือชาวนา คณะรัฐมนตรีวานนี้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือชาวนาเป็นเงินจำนวน 6.5 พันล้านบาทสำหรับปีงบประมาณ 60 เพื่อบรรเทาปัญหาทางการเงินของชาวนาผู้มีรายได้น้อยจำนวนกว่า 2.8 ล้านคนที่ได้มาลงทะเบียนกับภาครัฐในช่วงวันที่ 15 ก.ค. ถึง 15 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะครอบคลุมถึงการให้เงินช่วยเหลือจำนวน 3,000 บาทและการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (Bangkok Post)

• ADVANC (162 บาท, ซื้อ, ราคาเป้าหมายปี 59 200 บาท) เขย่าวงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงตามสาย ตั้งเป้าลูกค้า 2 ล้านรายในปี 2562 ปัจจุบันได้ลูกค้ามาแล้ว 2 แสนรายหรือ 2% ของส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจากปลายปี 58 ที่ 4.5 หมื่นราย บริษัทคาดจะมีลูกค้า 3 แสนรายภายในสิ้นปี 59 นี้ ขณะที่ TRUE (7.15 บาท) JAS (7.35 บาท) และ บมจ.ทีโอทีมี 2.6 2.2 และ 1.6 ล้านรายตามลำดับ (Bangkok Post) ความเห็น: ในระยะยาวอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงตามสายจะเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้หลักของ ADVANC หนุนการเติบโต แม้ว่าจะต้องใช้เวลาด้วยความเป็นผู้เล่นรายใหม่ แต่เราเชื่อว่า ADVANC จะบรรลุเป้าหมายและชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้เล่นเดิมได้

• BCPG(ราคา IPO 10.00 บ.) ซึ่งเป็นบริษัท Flagship ในธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของกลุ่ม BCP จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันนี้เป็นวันแรก โดย BCPG ระดมทุนผ่านการออกหุ้น IPO มูลค่า 5.9 พันลบ. โดยมีแผนที่จะนำเงินไปใช้ขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขึ้นสู่ระดับกำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจการโครงการทั้งในและต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 138 เมกะวัตต์ที่ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว รวมถึงโครงการที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้ว 186 เมกะวัตต์ที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงการ (SET/The Nation) ความเห็น: จากการประเมินของเรา ราคา IPO คิดเป็นเพียงมูลค่าจากโครงการที่มีความชัดเจนในแง่ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ดังนั้นโครงการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตถือเป็น Upside ต่อราคาหุ้น แม้ว่ารายละเอียดการลงทุนโครงการใหม่จะยังไม่มีความชัดเจนก็ตาม

ต่างประเทศ

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อวันอังคารจากความกังวลเกี่ยวกับธนาคารดอยช์แบงก์ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่สุดในเยอรมนีซึ่งอาจทำให้เฟดเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาพันธบัตรอ้างอิงสหรัฐอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 6/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 1.566% ลดลงจากที่ระดับ 1.589% เมื่อวันอังคาร (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินยูโรเมื่อวันอังคาร จากความกังวลเกี่ยวกับธนาคารดอยช์แบงก์ส่งผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารในยุโรป ดอลลาร์สหรัฐแทบไม่เปลี่ยนแปลงเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 100.34 เยน หลังจากลดลง 0.7% เมื่อวันจันทร์ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ล่าสุดปิดเพิ่มขึ้น 0.33% อยู่ที่ระดับ 95.609 (Reuters)

สหรัฐ:

• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันอังคาร จากการที่นางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครตชนะดีเบตรอบแรกเมื่อวันจันทร์ ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่านางคลินตันน่าจะเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยตราบเท่าที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายเป็นเรื่องที่ต้องเป็นกังวล หุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นตัวนำตลาดขึ้นหลังจากมีการประกาศดัชนีผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่กลุ่มดังกล่าวประสบปัญหาในช่วง 2 เดือนก่อน หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งเช่นกันโดยได้แรงหนุนจากหุ้นไมโครซอฟท์และเฟซบุ๊กที่พุ่งขึ้น (Reuters)

• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนก.ย. และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระหว่างปี 2007-2008 ดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 104.1 (ปี1985 = 100) เพิ่มขึ้นจากที่ระดับ 101.8 ในเดือนส.ค. ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเพิ่มขึ้นจากที่ระดับ 125.3 อยู่ที่ระดับ 128.5 ในขณะที่ดัชนีคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากที่ระดับ 86.1 ในเดือนส.ค. อยู่ที่ระดับ 87.8 โดยรวมแล้ว ผู้บริโภคยังคงประเมินสถานการณ์ปัจจุบันในทางบวกและคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในระดับปานกลางในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า (The Conference Board)

• ราคาบ้านในเดือน ก.ค. ยังคงเพิ่มขึ้นทั่วประเทศในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีราคาบ้านของ S&P CoreLogic Case-Shillerซึ่งสำรวจจากแถบต่าง ๆ ในสหรัฐทั้ง 9 แห่ง เพิ่มขึ้น 5.1% YoYในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นจาก 5.0% ในเดือนมิ.ย. ส่วนดัชนีราคาบ้าน 10-City Composite เพิ่มขึ้น 4.2% YoYลดลงจาก 4.3% ในเดือนก่อนหน้า ดัชนี 20-City Composite เพิ่มขึ้น 5.0% ลดลงจาก 5.1% ในเดือนมิ.ย. (S&P Global)

• กิจกรรมภาคการบริการเพิ่มขึ้นมาก ดัชนีชี้วัดภาพรวมภาคการบริการของ Markitเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.9 ในเดือนก.ย. เทียบกับในเดือนส.ค. ที่ระดับ 51.0 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นรายเดือนมากที่สุดนับแต่เดือนเม.ย. กิจกรรมภาคการบริการในปัจจุบันเพิ่มขึ้นทุกเดือนติดต่อกันมา 7 เดือน (IHS Markit)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันอังคารปรับตัวสูงขึ้นภายใต้ภาวะความผันผวน โดยหุ้น Deutsche Bank ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์บนความคาดหวังว่าเงินค่าปรับจากทางสหรัฐฯ อาจจะน้อยกว่าที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามหุ้นStandard Charterdปรับตัวลดลงหลังจากมีรายงานว่าทางธนาคารได้เผชิญกับการสอบสวนจากทางสหรัฐฯ ในกรณีที่ไม่ได้ช่วยระงับการทุจริตของบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าสัญชาติอินโดนิเซีย เช่นเดียวกับหุ้น Volkswagen ที่ปรับตัวลดลงหลังจากมีรายงานว่าทางเยอรมนีเตรียมตรวจสอบทางบริษัทฯ และสั่งปรับเงินที่อาจนำไปสู่การล้มละลายได้ (Reuters)

• เจ้าหน้าที่กรมยุติธรรมสหรัฐระบุเมื่อวันอังคารถึงความเป็นไปได้ที่จะลดโทษเกี่ยวกับหลักทรัพย์จำนอง สำหรับ Deutsche Bank หากบริษัทให้ความร่วมมือกับทางการ ก่อนหน้านี้กรมยุติธรรมได้ปรับ Deutsche Bank1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐข้อหาขายหลักทรัพย์ที่มีอสังหาริมทรัพย์จำนองเป็นประกันอย่างไม่เหมาะสม (Reuters)

เอเชีย:

• Kuroda ปฏิเสธออกจาก QQE: แนวทางที่ BOJ ซื้อพันธบัตรจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอัตราผลตอบแทน แต่มีการคาดไว้แล้วว่าจะไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากนัก ผู้ว่า BOJ นาย Haruhiko Kuroda กล่าวว่าการลดภาวะการเก็งกำไรที่ BOJ กำลังพิจารณาคือการชะลอการซื้อสินทรัพย์ (Reuters)

• ผลกำไรภาคอุตสาหกรรมของจีนเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบสามปี ในขณะที่จีนซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับที่สองของโลก แสดงสัญญาณมากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพ แม้นักพยากรณ์ภาคเอกชนบางคน กล่าวว่าตัวเลขที่เห็นอาจจะดีกว่าความเป็นจริง แต่ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมในเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 19.5%YoYเป็น 5.348 แสนล้านหยวน หรือ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.8 ล้านล้านบาท รายงานโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) ในวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ ส.ค. 2556 (Reuters)

• ประเทศจีนมีความกังวลอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการตรวจสอบหลายขั้นตอนของประเทศไทยในการนำเข้าเหล็กของจีน ในอดีตที่ผ่านมาสองปี (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาน้ำมันลบ 3% วันอังคาร หลังซาอุฯ ระบุว่าไม่น่าจะตกลงเรื่องลดกำลังการผลิตได้ในการประชุมที่แอลเจียร์ แม้ว่าการคุมการผลิตจะยังเป็นไปได้ในช่วงหลังของปีก็ตาม OPEC และผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นได้มารวมตัวกันในการประชุมพลังงานระหว่างประเทศในวันที่ 26-28 ที่เมืองหลวงของแอลจีเรีย Brent ลบ 1.38 ดอลลาร์ (-2.9%) ปิดที่ 45.97 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าลบ 1.26 ดอลลาร์ (-2.7%) ปิดที่ 44.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ทองคำร่วงวันอังคารเพราะดอลลาร์และหุ้นยืนได้จากมุมมองต่อการโต้วาทีของผู้ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐว่านาง Hillary Clinton เหนือ Donald Trump ในยกแรก ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองและพันธบัตรสะดุด ราคาทองคำตลาดจรได้ลดไป 0.8% ไปอยู่ที่ 1,327 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สวนกับที่บวกมาแล้วหกวันติด ทองคำสหรัฐล่วงหน้าส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับลดลง 1% ปิด 1,330.4 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (Reuters)