กบข. เตรียมปรับพอร์ตลงทุนระยะสั้น

กบข. เตรียมปรับพอร์ตลงทุนระยะสั้น

"กบข." เตรียมปรับพอร์ตลงทุนระยะสั้น หลังหุ้นร่วงแรง ชี้หุ้นไทยผันผวนน้อยกว่าที่คาด พร้อมตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนปีนี้ไว้ที่ 2.5%

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าว จากการวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนระยะยาวของ กบข. ในสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า แม้ว่าขณะนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปมาก ซึ่งการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นในช่วง 2 ถึง 3 วันที่ผ่านมา น่าจะเป็นการปรับตัวลดลงครั้งใหญ่ของตลาดหุ้นไทยครั้งที่ 2 โดยภาพรวมมีความผันผวนน้อยกว่าที่เคยประเมินเอาไว้ เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังคงสูงกว่า ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา ถึง เกือบ 200 จุด อย่างไรก็ตามในช่วงระยะสั้น ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนของกองทุนกบข.จำเป็นต้องปรับพอร์ตการลงทุนบ้าง และไม่จำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์พอร์ตการลงทุนเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของกองทุนกบข. ลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ชั้นดี ประมาณร้อยละ 64-65 โดยตามกฎหมายกำหนดให้ต้องลงทุนร้อยละ 60 ขึ้นไป ที่เหลืออีกร้อยละ 20 ลงทุนในหุ้น เงินลงทุนในหุ้นไทยคิดเป็น 1 ใน 3 ที่เหลือเป็นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ในหลายทวีปในโลก ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนทางเลือก ที่ไม่ใช่ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรเช่นอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย เป็นต้น

ขณะที่ผลตอบแทน จากการลงทุนของกองทุนกบขในปีนี้ ตั้งเป้าให้ได้ร้อยละ 2.5 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อรายปี และดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา การลงทุนได้ผลตอบแทนมากกว่าร้อยละ 3-3.5 ทั้งนี้หากไม่มีอะไรเข้ามากระทบรุนแรงมากกว่านี้ก็เชื่อว่า ผลตอบแทนของกบข.จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ทั้งนี้ กบข. เชื่อว่าจากการลงทุน ในตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะอยู่ในระดับที่ดี โดยดัชนีราคาหุ้นปีนี้จะมีความผันผวน โดยมีปัจจัยต่างๆ ดังนี้ กระแสการไหลของเงินทุนต่างชาติ (fund flow) โดยปีนี้ต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้วประมาณ110,000 ล้านบาท ทั้งนี้จะต้องจับตาแนวโน้มการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในช่วงต่อไปไปจนถึงสิ้นปี เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อราคาหุ้นไทย ปัจจัยที่ 2 ที่ต้องจับตามองคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ว่าจะมีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้หรือไม่ หากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฉลองออกไปจะส่งผลดี ปัจจัยที่ 3 ที่ต้องจับตาคือ การบริหารเศรษฐกิจและการจัดการ เตรียมการเลือกตั้งในปีหน้าจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องจับตามองได้แก่ เศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา