"ล็อกซเล่ย์" ปูพรมตลาด อินเดีย ซีแอลเอ็มวี

"ล็อกซเล่ย์" ปูพรมตลาด อินเดีย ซีแอลเอ็มวี

"ล็อกซ์เล่ย" แจงแผนอินเตอร์เทรด ปูพรมตลาดอินเดีย ซีแอลเอ็มวี รุกต่อตลาดจีน ตั้งเป้า 5 ปีรายได้เพิ่มเท่าตัว

นายสุรพันธ์ ภาษิตนิรันดร์ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมรายได้ธุรกิจ “กลุ่มล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง” หรือ TBG : Trading Business Group ในครึ่งปีแรกเติบโต 25-30% ดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน และแนวโน้มในครึ่งปีหลังยังคาดการณ์ขยายตัวและเติบโตได้ในระดับ 25% เนื่องจากความเชื่อมั่นโดยภารวมดีขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส 2 เทียบกับไตรมาส 1

ขณะที่อีกปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจเติบโต เกิดจากกลุ่มสินค้าโฮเรก้า(โรงแรม ร้านอาหาร และแคเทอริ่ง) หลังจากบริษัทได้ลูกค้าใหม่อย่างร้านอาหารโออิชิ เพื่อป้อนวัตถุดิบให้ทุกสาขา และยังมีโรงแรมเชนระดับโลกอีก 3-4 แห่ง ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคก็เติบโต โดยเฉพาะยอดขายน้ำมันกุ๊ก ที่ตลาดมีความต้องการสูง เนื่องจากน้ำมันปาล์มขาดตลาด นมพร้อมดื่มยูเอชทีหนองโพ มีสินค้าใหม่ๆเข้าทำตลาดเพิ่ม เป็นต้น

นอกจากนี้ การค้าต่างประเทศ หรืออินเตอร์เทรด ก็เติบโตดี หลังจากบริษัทนำสินค้าข้าวถุงภายใต้แบรนด์ของตนเอง “Golden Lotus” เข้าทำตลาดในประเทศจีน 2-3 ปี มีการเติบโตต่อเนื่อง และเจาะช่องทางจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการน้ำมัน “ไซโนเปค” ของรัฐวิสาหกิจของจีน จาก 4,000 สาขา เป็นกว่า6,400 สาขา และยังมีสินค้าอื่น เช่น หมอนยางพารา ผลไม้อบแห้ง แบรนด์ตัวเองเข้าไปเสริมพอร์ตโฟลิโอเพื่อทำตลาดเพิ่มด้วย

+รุกเป็นเจ้าของซัพพลานเชน

ส่วนแนวทางการขยายธุรกิจเทรดดิ้ง บริษัทให้ความสำคัญในการเข้าไปเป็นเจ้าของโรงงานผลิตสินค้า(ซัพพลายเชน)มากขึ้น ส่วนหนึ่งจะช่วยควบคุมความสามารถในการทำรายได้และกำไรได้มากขึ้น โดยที่ผ่านมา บริษัทเข้าไปร่วมทุนกับบริษัท นิปปอน สตีล แอนด์ ซูมิโตโม เมทัล คอร์ปอเรชั่น จัดตั้งบริษัท เอ็นเอส บลูสโคป(ประเทศไทย) จำกัด ผลิตเหล็กคุณภาพสูงป้อนตลาด โดยเฉพาะเมื่อบริษัทมีการรับงานโครงการลงทุนระบบสาธารณูปโภคจากภาครัฐ ช่วยให้บริษัทเก็บเกี่ยวรายได้จากตลาดดังกล่าวค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นงานหลังคาโครงการสถานีรถไฟฟ้าสายต่างๆ ซึ่งบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดราว 80% เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทได้ใช้งบลงทุน 10-20 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานเพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจานแบรนด์คลีนนา(Kleena) เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้มีศักยภาพในการรุกตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น และทำราคาได้ต่ำกว่าคู่แข่ง 20% จูงใจผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อแบรนด์สินค้าของบริษัท

สำหรับแผน 3-5 ปีข้างหน้าบริษัทวางงบประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายธุรกิจเทรดดิ้งให้เติบโต แต่ยังไม่มีการซื้อกิจการโรงงาน หรือที่เป็นซัพพลายเชนแต่อย่างใด

“นอกจากการมุ่งสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง การเป็นเจ้าของซัพพลายเชนสำคัญมาก ทิศทางการลงทุนของบริษัทจึงเน้นลงทุนซัพพลายเชน ทั้งไปถือหุ้น การผลิตสินค้า โดยเริ่มต้นที่กลุ่มคอนซูเมอร์ และสินค้าเพื่อสุขภาพ ขณะนี้เรามีการปรับปรุงโรงงานเดิมเพื่อ ผลิตสินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือนหรือเฮ้าส์โฮลด์ โปรดักท์ และสินค้าสมุนไพร เพื่อสุขภาพ”

+เปิดแผนอินเตอร์เทรด

นายณัฐพล เดชวิทักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัมฒาธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) แผนธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทให้น้ำหนักในการขยายธุรกิจอินเตอร์เทรดมากขึ้น ด้วยการนำสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองไปทำตลาดหลัง 7 ประเทศหลัก ได้แก่ จีน อินเดีย ฮ่องกง และกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาและเวียดนาม(CLMV)

ทั้งนี้ ประเทศจีน เตรียมนำสินค้าเส้นหมี่แบรนด์ของบริษัทไปจำหน่าย และนำสินค้านอกเครือ เช่น สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ชาเขียวโออิชิ ฟิชโช เข้าไปทำตลาดเพิ่ม ส่วนตลาดอินเดียจะนำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยรสชาติใหม่ ขนมขึ้นรูปข้าวโพดอบกรอบแบรนด์ want more ของเถ้าแก่น้อย และขนมหวาน(คอนเฟ็คชันนารี)มะขามไปบุกเมืองนิวเดลีและรอบๆนำร่อง

ส่วนตลาดฮ่องกง สินค้าส่วนใหญ่จะคล้ายกับจีน แต่ไม่เน้นข้าวสารมากนัก ขณะที่ตลาดซีแอลเอ็มอี จะเน้นยังให้ความสำคัญกับตลาดเมียนมา หลังจากที่ผ่านมาได้นำสินค้าน้ำมันเครื่องแบรนด์คาสตรอลเข้าไปทำตลาด และมีการเติบโตค่อนข้างสูง ส่วนเวียดนาม ลาว กัมพูชา จะเป็นกลุ่มขนมขบเคี้ยว(สแน็ค) เป็นต้น และเตรียมนำสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไปบุกตลาดเพิ่มเติมด้วย

+วาดเป้าดับเบิ้ลรายได้ใน 5 ปี

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าภายใน 5 ปี ธุรกิจอินเตอร์เทรดจะมียอดขายเติบโตเท่าตัวที่ระดับ 800-1,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดว่าจะปิดที่ 350 ล้านบาท โดยจีนยังมีสัดส่วนยอดขายสูงสุด 50% ตามด้วยเมียนมา 20% ที่เหลือ 30% เป็นตลาดอื่นๆ

“เรามีการทำตลาดเชิงลึกในจีน โดยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จัดทำทริปพิเศษสำหรับลูกค้าผู้โชคดีที่ซื้อข้าวสารโกลเด้น โลตัส 10 คู่ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อกระตุ้นการท่องที่ยวด้วย ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างแบรนด์แบบบอกต่อหรือ Word of mouth ซึ่งทรงพลังมาก และยังทำตลาดกับฐานลูกค้าไซโนเปคผ่านโซเชียลมีเดียอย่าง we chatซึ่งมีฐานลูกค้าของเขา 20 ล้านคน และร่วมกับห้างแกรนด์บาย(GrandBuy)นำสินค้าไทยไปจำหน่าย คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้จีนปีนี้ 300-350ล้านบาท จากปีก่อนปิดยอดขายกว่า 200 ล้านบาท และภายใน 5 ปี คาดว่ารายได้จีนจะดับเบิ้ลเป็น 500 ล้านบาท เมียนมา อินเดีย และประเทศอื่นๆรวมๆกันควรแตะ 500 ล้านบาท และเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 20% จากปัจจุบัน 7%”

+สิ้นปียอดขายโต 8%

นายสุรพันธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมรายได้ของบริษัทปีนี้ คาดว่าจะเติบโต 8% จากปีก่อนรายได้รวมอยู่ที่ 1.22 หมื่นล้านบาท ส่วนธุรกิจเทรดดิ้ง ปิดยอดขายที่ 4,200 ล้านบาท