แม่ทัพภาค4 สั่งล่ารถส่งนมโดนปล้น หวั่นแปลงเป็นคาร์บอมบ์

แม่ทัพภาค4 สั่งล่ารถส่งนมโดนปล้น หวั่นแปลงเป็นคาร์บอมบ์

"พล.ท.วิวรรธน์" แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งไล่ล่ารถส่งนมที่ถูกคนร้ายปล้นจากปัตตานี หวั่นนำไปทำคาร์บอมบ์ เชื่อเหตุรุนแรงไม่เกี่ยวพูดคุยเพื่อสันติ

จากกรณีเกิดเหตุการณ์คนร้าย 6 คนปล้นรถยนต์กระบะตอนเดียว ยี่ห้ออีซูซุ สีเทา ทะเบียน บธ 1426 ปัตตานี ของนายอับดุลบากา มาลายา บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านชะเมาสามต้น ม.5 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นรถส่งนมให้กับโรงเรียน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 ส.ค.59ที่ผ่านมา โดยหลังเกิดเหตุนายโอม เชื่อแหลม นายอำเภอสายบุรี ได้ประกาศรางวัลนำจับ 100,000 บาท หากใครพบเบาะแสรถยนต์คันดังกล่าว

ความคืบหน้าวันที่ 31 ส.ค.59 พันเอกยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวทาง พลโทวิวรรธน์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ได้สั่งการให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการติดตามรถคันกล่าว ซึ่งในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานสาเหตุเอาไว้สองสาเหตุคือ เรื่องอาชญากรรมทั่วไป ที่ได้ให้ตำรวจดำเนินการตรวจสอบ ส่วนสาเหตุที่สอง จากรูปแบบเหตุการณ์จี้ชิงรถในห้วงที่ผ่านมา และมีการนำรถดังกล่าวไปประกอบวัตถุระเบิดเพื่อก่อเหตุ ท่านแม่ทัพภาคที่ 4 ก็ได้สั่งการเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี ให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน

ซึ่งวานนี้ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี ก็ได้มีการเรียกประชุมด่วน เพื่อวางมาตรการ ในการค้นหารถคันดังกล่าว รวมทั้งมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยประสานงานกับทุกฝ่ายในพื้นที่ รวมทั้งแจ้งข่าวสารให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันสอดส่อง และแจ้งข่าวสารให้กับทางเจ้าหน้าที่ หากพบเจอรถคันดังกล่าว ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที หรือโทร 1341 ได้ตลอด 24 ชม.

“ท่านแม่ทัพภาคที่ 4 ยังได้สั่งการให้พื้นที่ข้างเคียง ไม่เฉพาะในพื้นที่ปัตตานี ให้เฝ้าระวัง และเฝ้าติดตาม เช่นกัน เนื่องจากเกรงว่าคนร้ายจะนำไปใช้ก่อเหตุในพื้นที่อื่นๆได้ โดยหวังให้พี่น้องประชาชน ช่วยกันสังเกตรถคันดังกล่าวด้วย ส่วนภาพข่าวที่ปรากฏว่า รถคันดังกล่าว อาจจะวิ่งผ่านเข้าไปในพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส แล้วนั้น ท่านแม่ทัพ ก็ได้สั่งการให้ในพื้นที่ดังกล่าวเร่งตรวจสอบ และเพิ่มความระมัดระวังแล้ว” รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าว

พันเอกปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า ส่วนเรื่องของการพูดคุยเพื่อสันติสุข ทางรัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข โดยได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน มีการกำหนดขั้นตอน ระยะ ในการแก้ไขปัญหา ปัจจุบัน อยู่ในระยะที่1คือสร้างความไว้วางใจ ในขณะที่ในพื้นที่ก็ขับเคลื่อนในการสร้างสภาวะแวดล้อม ที่เอื้อ และหนุนเสริม ต่อการพูดคุย โดยพร้อมที่จะให้ผู้ที่เห็นต่างทุกกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุย บนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย มาตราที่ 1 คือ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียว ที่แบ่งแยกไม่ได้ ซึ่งอย่างไรก็ตาม ทาง กอ.รมน. ยังมุ่งเน้นที่จะแก้ไขปัญหาที่นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ อย่างยั่งยืน และพร้อมที่จะเปิดรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะ จากกลุ่มต่างๆ เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาในพื้นที่

“ส่วนกรณีข้อสังเกตถึงเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงนี้ ที่เพิ่มความรุนแรงขึ้น ในช่วงเวลาที่จะมีการพูดคุยเพื่อสันติสุข นั้น ก็ต้องย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมา ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2547 ทางกลุ่มคนร้ายก็พยายามสร้างความรุนแรง ไม่ละความพยายาม ในทุกครั้งที่มีโอกาสที่จะก่อเหตุ ก็มุ่งที่จะสร้างสถานการณ์อยู่แล้ว คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาใกล้การพูดคุย แต่อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพภาคที่ 4 ก็จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ เพื่อควบคุมพื้นที่ให้มีความปลอดภัย ถ้ามีการก่อเหตุขึ้นมา ก็จะมีการติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี โดยเชื่อว่าการก่อเหตุของคนร้ายในช่วงนี้ ไม่ได้มีความเชื่อมโยง ถึงการพูดคุยเพื่อสันติสุข แต่อย่างใด” โฆษก อ.ณมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าว

มีรายงานจากหน่วยข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบุว่า จากกรณีปรากฏข่าวสาร อดีตสมาชิกกลุ่มพูโลเก่า ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านเปอราลา ต.กัวลาอีโปร์ อ.ตาเนาะแมเราะ รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย สั่งการให้สมาชิกรุ่นใหม่ดำเนินการกลับเข้าไปซื้อชุดลายพรางทหารไทยให้ได้จำนวนมาก เพื่อให้สมาชิกปฏิบัติการกลับเข้าก่อเหตุในประเทศไทย โดยเลียนแบบด้วยการแต่งชุดเจ้าหน้าที่ทหารไทย เพื่อให้ราษฎรเชื่อว่าการก่อเหตุเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐและก่อเหตุต้อนรับวันชาติมาเลเซียที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 ส.ค.59 นี้ โดยก่อเหตุให้เหมือน ทุกปีที่ผ่านมา ด้วยการลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้า พ่นสีที่มีข้อความ“เอกราช”เผายางรถบนถนน

“เพื่อเป็นเป็นการป้องกันเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงให้หน่วยดำเนินการ เพิ่มความระมัดระวังขณะเดินทางทั้งทางธุรการและขณะออกปฏิบัติงาน โดยเฉพาะผู้ก่อการร้ายแต่งกายเลียนแบบเจ้าหน้าที่ในการตั้งด่านลอยประสานข้อมูล บูรณาการด้านการข่าว กับหน่วยกำลัง ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ และให้ตรวจสอบข่าวสารลักษณะดังกล่าวจากตัวแทนแหล่งข่าว และสร้างความเข้าใจ ขยายช่องทางการรับรู้ ให้กับมวลชนฝ่ายเรา ให้รู้เท่าทันกลวิธีของผู้ก่อเหตุรุนแรง ในการก่อเหตุ และโยนความผิดว่าเป็นการกระทำของ จนท.รัฐ พร้อมรายงานให้ทราบเมื่อปรากฏข่าวสาร” หน่วยข่าว ระบุ