SIRI - ซื้อเก็งกำไร

SIRI - ซื้อเก็งกำไร

สรุปประเด็นจากโรดโชว์

ประเด็นการลงทุน

เราได้จัดประชุมสำหรับนักลงทุนสถาบันในประเทศเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา นำโดยมีกรรมการผู้จัดการใหญ่คุณ เศรษฐา ทวีสิน กรรมการคูณ วันจักร บุรณศิริ และหัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ คุณวรางคณา อัครสถาพร โดยการประชุมดังกล่าวทำให้เรามั่นใจว่าแนวทางการบริหารธุรกิจว่า SIRI จะมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญที่สุดเท่านั้น กอปรกับที่สำคัญผู้บริหายังมองถึงกลยุทธ์ในการบริหารทั้งการเติบโตของยอดจองซื้อและความสามารถในการทำกำไรในขณะเดียวกัน ที่สำคัญอย่างยิ่งผู้บริหารมีความพยายามและมั่นใจในนโยบายการบริหารเงินปันผลจ่ายต่อหุ้นที่ทรงตัวอยู่ที่ 0.12 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงถึง 6.7% (จ่าย 2 ครั้งต่อปี) ทำให้เรายังคงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” จากราคาหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ถูกมาก โดยซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ณ สิ้นปี 2559 อยู่ 10% เราคงราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2559 ที่ 2.20 บาท อิงค่า PER ที่ 10 เท่า (สูงกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 2549-2558 อยู่ 0.75 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน)

ยืนยันเปิดตัวโครงการใหม่อย่างมีนัยสำคัญไตรมาส 4/59

SIRI ยืนยันช่วงเปิดตัวโครงการสูงสุดของปีจะอยู่ในไตรมาส 4/59 ด้วยมูลค่าโครงการรวมที่ 2.9 หมื่นล้านบาท (คิดเป็น 57% ของมูลค่าการเปิดตัวโครงการทั้งปี 2559) โดยมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ 6 พันล้านบาทในไตรมาส 3/59 ซึ่งประกอบไปด้วยโครงการพื้นราบ 5 โครงการมูลค่ารวมที่ 4 พันล้านบาท และโครงการร่วมทุน 1 โครงการมูลค่า 2 พันล้านบาท ได้แก่โครงการ The Base บนถนน พระราม 9 ทั้งนี้ยอดเปิดตัวโครงการคอนโดจะสูงสุดในไตรมาส 4/59 มูลค่ารวมที่ 2.6 หมื่นล้านบาท ประกอบไปด้วยโครงการคอนโด 5 โครงการหรูที่เป็นกลยุทธ์เป็นแบบสร้างก่อนขายของบริษัทบนถนนวิทยุ (มูลค่าโครงการประมาณ 8 พันล้านบาท) และโครงการร่วมทุน 4 โครงการ (มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท) ได้แก่ทำเลบริเวณ ทองหล่อ สุขุมวิท 101 พหลโยธิน และอีกหนึ่งทำเลที่ยังไม่ประกาศ ดังนั้นเราจึงมองว่าหาก SIRI เปิดตัวโครงการได้ตามแผนข้างต้นจะเป็นเหตุให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายเปิดตัวโครงการเชิงรุกที่ 5.1 หมื่นล้านบาทในปี 2559 (71% เป็นโครงการคอนโด และ อีก 29% เป็นโครงการพื้นราบ) จากเพียง 2.2 หมื่นล้านบาทในปี 2558 ได้ ที่สำคัญเราคาดเห็นยอดจองซื้อมีโอกาสจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ไตรมาส 4/59

บริษัทมั่นใจบรรลุเป้ายอดจองซื้อและรายได้ในปี 2559

ผู้บริหารมีความมั่นใจแม้มูลค่าการเปิดโครงการใหม่จะเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังนี้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ผลตอบรับต่อการเปิดตัวโครงการโดยเฉพาะคอนโดนั้นจะได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม หนุนจากทีมขายและการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัท สินค้าที่มีเอกลักษณ์แตกต่าง และทำเลโครงการที่โดดเด่น โดยบริษัทตั้งเป้ายอดจองซื้อปี 2559 ที่ 4.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% (เติบโตสูงสุดในกลุ่มอสังหาฯ ที่เราให้คำแนะนำ) ทั้งนี้บริษัทเป็นบริษัทแรกที่มุ่งเน้นเจาะตลาดชาวต่างชาติ (อย่างฮ่องกง ไต้หวัน และสิงค์โปร์) และมีผลตอบรับที่ดีมากด้วยเป้ายอดจองซื้อจากชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นมากจาก 3.5 พันล้านบาทในปี 2558 มาอยู่ที่ 5 พันล้านบาทในปี 2559 ซึ่งเป็นมูลค่าการขายชาวต่างชาติที่สูงที่สดในกลุ่ม โดยผู้บริหารคงเป้าหมายรายได้รวมปี 2559 ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเรามองบริษัทจะสามารถบรรลุเป้ารายได้โครงการที่อยู่อาศัยที่ 3.2 หมื่นล้านบาทได้ เนื่องจากมียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือกว่า 75% รองรับแล้ว นอกจากนี้ผู้บริหารตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30-31% สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่ 17-18% และอัตรากำไรหลักที่ 9-10% สำหรับปี 2559 ทั้งนี้หากบริษัทสามารถทำอัตรากำไรหลักได้ที่9.0% ตามแผนจริง (เราประเมินแบบอนุรักษ์นิยมอยู่ที่ 8.6% ในประมาณการปัจจุบัน) อาจส่งผลให้ประมาณการกำไรหลักสูงกว่าที่เราคาด 5%

แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/59 ไม่ตื่นเต้นแต่โดดเด่นมากในไตรมาส 4/59

ผู้บริหารมองถึงรายได้จาการขายอสังหาฯ รายไตรมาสในไตรมาส 3/59 จะอยู่ที่ราว 6 พันล้านบาท (ลดลงทั้ง YoY และ QoQ) หลังจากนั้นบริษัทน่าจะสามารถสร้างรายได้จาการขายอสังหาฯ ที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติการณ์ที่ราว 1.2 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/59 (ก้าวกระโดดขึ้น 20% YoY และ 90% QoQ) ส่งผลให้แนวโน้มกำไรหลักในไตรมาส 3/59 จะดูซบเซา แต่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 4/59 (ดีที่สุดในปีนี้) ผู้บริหารคาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะพลิกกลับจากขาดทุนก่อนหน้านี้เป็นกำไรได้ในไตรมาส 4/59 (เทียบกับขาดทุนติดต่อกันมาทุกไตรมาสตั้งแต่ในไตรมาส 1/ 58 เป็นต้นมา) เนื่องจากโครงการร่วมทุนคอนโดโครงการแรก The Line สุขุมวิท 71 จะเริ่มโอนในไตรมาส 4/59 ทั้งนี้เรายังคงประเมินเชิงอนุรักษ์นิยมว่าบริษัทจยะรายงานส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมในไตรมาส 4/59