รุก 'แพทย์เฉพาะทาง' ขุมทรัพย์ใหญ่ RJH

รุก 'แพทย์เฉพาะทาง' ขุมทรัพย์ใหญ่ RJH

เดินเครื่องขยาย 'ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง' กลยุทธ์ดันฐานคนไข้จ่ายเงินขึ้นสู่ระดับ 60% ก่อนปี 62 'หมอวชิระ วุฒิกุลประพันธ์' เอ็มดีใหญ่ RJH

ไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งในผู้ถือหุ้น บมจ.โรงพยาบาลราชธานี หรือ RJH หุ้นไอพีโอน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ราคาหุ้นละ 16 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท หลังเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรกจำนวน 74.99 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 24-26 ส.ค.ที่ผ่านมา

ทว่า บมจ.ธนบุรีเฮลท์แคร์ กรุ๊ป ของ 'หมอบุญ วนาสิน' ในฐานะเซียนหุ้นรุ่นลายคราม และ บริษัท โรงพยาบาลวิภาราม จำกัด ที่ถือหุ้น RJH สัดส่วน 7.07% และ 7.94% ตามลำดับ (ตัวเลขหลังเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน)
ยังเป็นผู้ชี้ทางการดำเนินธุรกิจให้บริการทางการแพทย์ จนสามารถขึ้นแท่นครอง 'ตัวเลขมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่ง' ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สะท้อนผ่านการได้ใบรับรองคุณภาพ Hospital Accreditation (HA) ขั้นที่ 3
ปัจจุบัน โรงพยาบาลราชธานี ถือหุ้นผ่านสองกลุ่มใหญ่ ประกอบด้วย กลุ่มประสิทธิ์หิรัญ และกลุ่มวุฒิกุลประพันธ์ สัดส่วน 24.51% และ 10.88% ตามลำดับ ซึ่งทั้งสองตระกูลมาจากคณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราช

'ทีมแพทย์ที่แข็งแกร่ง และการมีเครือข่ายโรงพยาบาลใหญ่เป็นกำลังหลัก ความโดดเด่นเหล่านี้ ทำให้เราเป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในภาคกลางตอนล่าง'

'นายแพทย์วชิระ วุฒิกุลประพันธ์' กรรมการผู้จัดการ บมจ.โรงพยาบาลราชธานี บอกเช่นนั้นกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week'

ก่อนจะเข้าเรื่องแผนธุรกิจ 'นายแพทย์ใหญ่' เล่าจุดเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจว่า เกิดจากคำชักชวนของเพื่อนนักเรียนแพทย์ศิริราช 6 คน และนักธุรกิจในพื้นที่อยุธยา

โดยการควักเงินลงทุนคนละ 1 ล้านบาท เพื่อก่อตั้งโรงพยาบาลในปี 2533 ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เป้าหมายแรก คือ ต้องเป็นโรงพยาบาลชั้นนำในภาคกลางตอนล่าง แต่ผลไม่ออกมาดั่งใจ หลังปีแรกของการดำเนินธุรกิจ บริษัทประสบผลขาดทุน ถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจการแพทย์ที่ต้องขาดทุนในช่วง 3 ปีแรก แต่เราโชคดีที่สามารถพลิกมีกำไรได้ในระยะปีครึ่ง ช่วงนั้นการแข่งขันยังไม่สูงมีโรงพยาบาลแถวนั้นไม่กี่แห่ง

ผ่านมาถึงปี 2537 อยากมีรายได้มากขึ้นจึงตัดสินใจเปิดรับผู้ป่วยประกันสังคม ช่วงแรกรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากคนไข้ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิทธิการรักษา ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก

แต่เมื่อรับประกันสังคมได้ระยะ บริษัทเริ่มมีต้นทุนสูงขึ้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานขาดทุน ทำให้ต้องหยุดรับสิทธิประกันสังคมไป 1 ปี ปรากฎว่า ฐานคนไข้ลดลง และรายได้ตกฮวบ แต่ยังมีกำไรสุทธิอยู่

ช่วงนั้นทีมบริหารนั่งคิดต่อว่า หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้โรงพยาบาลคงแย่ เรากลับมาคิดเรื่องการรับสิทธิประกันสังคมใหม่อีกครั้ง แต่เนื่องจากระบบการบริหารจัดการภายในยังไม่ดี ประกอบกับไม่ได้เข้ามาโฟกัสในรายละเอียด จนไม่รู้ว่าคนไข้สิทธิประกันสังคมมีมากเกือบแสนราย ทำให้คิดว่าอาจทำออกมาไม่ดีเหมือนเคย

บังเอิญช่วงนั้นผู้ถือหุ้นรายหนึ่งที่มีวิสัยทัศน์การดำเนินงานที่ไม่ตรงกัน ตัดสินใจขายหุ้นของตัวเองให้กับกลุ่มโรงพยาบาลวิภาราม 10% ซึ่งผู้ถือหุ้นรายนี้มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการบริหารสิทธิผู้ป่วยประกันสังคม ทำให้รายได้ประกันสังคมของบริษัทขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปีแรกเรามีรายได้เข้ามาทันทีไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท

จากนั้นบริษัทตัดสินใจแยกคนไข้จ่ายเงินกับคนไข้ประกันสังคมออกจากกัน ไม่เช่นนั้นสัดส่วนคนไข้จ่ายเงินอาจหดหาย เพราะว่าคนไข้จ่ายเงินไม่ต้องการรอนาน และนั่นเป็นที่มาของการสร้างตึก C จำนวน 7 ชั้น เพื่อผ่องถ่ายคนไข้ประกันสังคมมาอยู่ที่ตึกดังกล่าว

ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของโรงพยาบาลราชธานี แบ่งออกเป็น 'กลุ่มลูกค้าทั่วไป' สัดส่วน 50% และ 'กลุ่มลูกค้าตามโครงการสวัสดิการด้านสุขภาพภาครัฐ' ประมาณ 50% ซึ่งโรงพยาบาลมีนโยบายเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าทั่วไป
โดยการเพิ่มจำนวนแพทย์ และพยาบาล รวมถึงขยายขอบเขตการรักษาโรคเฉพาะทางที่มีความซับซ้อนสูง ส่วนลูกค้ากลุ่มสวัสดิการภาครัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประกันสังคม บริษัทมีนโยบายมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนการให้บริการได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องต่อรายได้เหมาจ่ายที่ได้รับจากโครงการประกันสังคม

'หมอวชิระ' เล่าต่อว่า เมื่อมีการปรับโครงสร้างภายในเรียบร้อยแล้ว แต่ธุรกิจยังเหมือนเดิมไม่มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเสริมศักยภาพของโรงพยาบาล ธุรกิจก็คงเติบโตได้เพียงเท่านี้ ทีมจึงคิดต่อว่า โรงพยาบาลราชธานีต้องรับการรักษา 'โรคเฉพาะทาง' เพิ่มมากขึ้น

ตอนนั้นมองว่า 'โรคหัวใจ' ในต่างจังหวัดหาหมอรักษายากมาก จึงเริ่มต้นด้วยการเปิด 'คลินิกโรคหัวใจ' และได้หมอ Part time จากโรงพยาบาลปิยะเวชมาช่วยสัปดาห์ละ 1 วัน

ท้ายที่สุดในปี 2557 ตัดสินใจว่า จะเปิดเป็น 'ศูนย์โรคหัวใจ' มูลค่าลงทุน 40 ล้านบาท เรานำเสนอเรื่องดังกล่าวในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท บอร์ดทุกคนแทบไม่เห็นด้วย แต่เมื่ออธิบายให้ฟังว่า...

ที่ผ่านมาผลประกอบการมีกำไรเติบโตมาจากสิทธิประโยชน์ด้านภาษี (BOI) โดยในปี 2556 มีกำไรสุทธิสูงสุด 150 ล้านบาท แต่หากสิทธิ BOI หมดกำไรสุทธิต้องลดลงแน่นอน ฉะนั้นหากไม่หารายได้ให้มากขึ้น ผลประกอบการจะลดลงทันที

'เราต้องกล้าเล่นของยาก หากต้องการให้กำไรเติบโต เพราะค่ารักษาโรคเฉพาะทางจะสูงกว่าการรักษาโรคทั่วไป'

ปี 2558 ตัดสินใจเปิดศูนย์เฉพาะทางโรคหัวใจ โดยมีจำนวนคนไข้โรคหัวใจ 170 ราย และใน 6 เดือนแรกของปี 2559 มีจำนวนคนไข้ใหม่แล้ว 120 ราย ตั้งเป้าทั้งปีจะมีจำนวนคนไข้ 200 ราย ถือว่า เป็นการเติบโตที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และทิศทางน่าจะมากขึ้น เมื่อคนไข้มั่นใจในการรักษาของเรา

ปัจจุบันโรงพยาบาลให้บริการการแพทย์หลากหลายด้าน ประกอบด้วย 1.ศูนย์หัวใจ โดยจะให้บริการรักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดหัวใจและโรคหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ,โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ ,โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ,โรคความดันโลหิตผิดปกติ ,โรคหัวใจเต้นผิดปกติ เป็นต้น

2.ศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉินและศัลยกรรมสมอง โดยจะให้บริการรถพยาบาลและศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน เพื่อเตรียมพร้อมรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน รวมทั้งทีมแพทย์เวร ซึ่งพร้อมให้บริการแก่ผู้ป่วยตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง

3.ศูนย์เฉพาะทางอื่นๆ ประกอบด้วย ศูนย์เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ ,ศูนย์ไตเทียม ,ศูนย์ตรวจสุขภาพ ,ศูนย์ทันตกรรม ,ศูนย์โรคกระดูกและข้อ ,ศูนย์สลายต้อกระจก ,คลินิกศัลยกรรม ,คลินิกอายุรกรรม ,คลินิกและบริการทางการแพทย์อื่นๆ และบริการอาชีวเวชศาสตร์

เมื่อเป้าหมายต้องการให้ธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง แผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์จึงเกิดขึ้น 'นายแพทย์วชิระ' บอกเช่นนั้น เรามีแผนจะขยายธุรกิจ ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลราชธานี และโรงพยาบาลราชธานี โรจนะ ในฐานะบริษัทย่อย เบื้องต้นคาดว่าจะได้รับเงินจากการระดมทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถรองรับการขยายธุรกิจของโรงพยาบาลได้อีก 5 ปี

สำหรับการขยายกิจการโรงพยาบาลราชธานี เราจะสร้างอาคารใหม่ 9 ชั้น บนเนื้อที่ 2 ไร่ จำนวนเตียง 120 เตียง คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 600-700 ล้านบาท ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวใช้เป็นลานจอดรถ โดยมีเป้าหมายจะขยาย 'ศูนย์แพทย์เฉพาะทางหลายสาขา' และ 'ศูนย์ตรวจสุขภาพ' เพื่อรองรับผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยจ่ายเงิน

'ตั้งเป้าสัดส่วนคนไข้จ่ายเงิน เพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 60%ในปี 2562 ที่เหลือเป็นรายได้สิทธิประกันสังคม และตั้งเป้ารายได้รวมโตเฉลี่ยปีละ 10-15%' 

ที่ผ่านมารายได้รวมของโรงพยาบาลมีการเติบโตทั้งสองส่วน เนื่องจากผู้ป่วยมีความมั่นใจในการใช้บริการมากขึ้น หลังโรงพยาบาลมีการปรับปรุงห้องผ่าตัด ห้องไอซียู ขณะเดียวกันยังมีทีมเเพทย์เฉพาะทางจำนวนหนึ่ง
เขา เล่าต่อว่า บริษัทจะนำเงินระดมทุนกว่า 50 ล้านบาท ไปขยายกิจการของบริษัท โรงพยาบาลราชธานี โรจนะ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทที่ถือหุ้น 52% ซึ่งโรงพยาบาลราชธานี โรจนะ จะทำการเพิ่มทุน เราก็จะใส่เงินเพิ่มทุนตามสัดส่วน 52% แต่เป้าหมายต้องการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นมากขึ้น โดยมองที่ระดับ 75%

สำหรับผลประกอบการของบริษัทย่อย ในปี 2557 ขาดทุน 50 ล้านบาท ปี 2558 ขาดทุน 30 ล้านบาท และครึ่งแรกปี 2559 ขาดทุน 8 ล้านบาท ถือว่าผลการดำเนินงานดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เราเข้าไปซื้อกิจการ
หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะพลิกเป็นกำไรในปี 2560 ฉะนั้นจึงต้องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น แต่ยังมีผู้ถือหุ้นใหญ่อีก 2 ราย คือ โรงพยาบาลธนบุรี และโรงพยาบาลวิภาราม ที่ถือหุ้นอยู่ เชื่อว่า ทั้ง 2 ราย คงจะใช้สิทธิเพิ่มทุน เราจะนำเงินเพิ่มทุนไปขยายห้องตรวจ และเพิ่มเตียงคนไข้ รวมถึงขยายห้องผ่าตัด

การขยายพื้นที่ให้บริการที่โรงพยาบาลราชธานี โรจนะ คาดว่าจะเสร็จในปี 2561 โดยเป้าหมายต้องการขยายพื้นที่ให้บริการให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับจำนวนคนไข้ที่มีมากขึ้น ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วย OPD เพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 300-400 ราย จากจำนวนผู้ป่วยก่อนที่ รพ.ราชธานี จะเข้าไปเทคโอเวอร์อยู่ที่วันละ 100 รายเท่านั้น

นายใหญ่ ทิ้งท้ายว่า บริษัทยังมองหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่องในจังหวัดอื่นๆ เช่น สุพรรณบุรี อ่างทอง และสระบุรี รวมถึงการเข้าลงทุนในโรงพยาบาล หรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการซื้อกิจการโรงพยาบาล ตอนนี้ยังไม่ได้มีการเจรจา แต่ดูไปเรื่อยๆ เพราะการซื้อกิจการที่ขาดทุน 1 แห่ง กว่าจะทำให้มีกำไรค่อนข้างเหนื่อย

สำหรับมุมมองต่ออุตสาหกรรมโรงพยาบาล ส่วนตัวมีความเห็นว่า ธุรกิจโรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่มั่นคง ประกอบกับสังคมไทยคนอายุยืนมากขึ้น เท่าที่มองค่าใช้จ่ายคนที่อายุมากสัดส่วน 70% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ค่ารักษาพยาบาล ซึ่งธุรกิจโรงพยาบาลจะไม่หวือหวา แต่เป็นธุรกิจที่เติบโตสม่ำเสมอ

'หัวใจของธุรกิจโรงพยาบาลจะรบแพ้หรือชนะอยู่ที่ทีมแพทย์ เพราะว่ารายได้ทุกบาททุกสตางค์มาจากปลายปากกาของแพทย์ ฉะนั้นถ้าเราได้ทีมแพทย์ที่เก่งจะปิดประตูขาดทุนทันที'