10ปี 'ไทยแลนด์โฟกัส' การเติบโตครั้งใหม่ตลาดทุนไทย

10ปี 'ไทยแลนด์โฟกัส' การเติบโตครั้งใหม่ตลาดทุนไทย

ตลาดหลักทรัพย์เตรียมจัดงานไทยแลนด์โฟกัสเป็นปีที่ 10 ระหว่าง 31ส.ค.-2ก.ย. 59 ชูธีม “A New Growth Strategy” มั่นใจการตอบรับสูง

ครบรอบ 10 ปีสำหรับการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสที่จะจัดงานในวันที่ 31 ส.ค. ถึง 2 ก.ย. ร่วมกับบล. ภัทร  และ ธนาคารแห่งอเมริกา เมอร์ริล ลินซ์ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยในปีนี้มีความพิเศษชูจุดขายใหม่ให้กับนักลงทุนต่างชาติ

เกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสเป็นสิ่งที่เราจัดติดต่อกันโดยปีนี้เป็นปีที่ 10 ซึ่งเป็นพันธสัญญาว่า ไม่ว่าภาวะตลาดหุ้นจะเป็นแบบใดเราจะให้ข้อมูลกับนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่จะให้ข้อมูลกับนักลงทุนให้รับทราบถึงการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

“การให้ข้อมูลกับนักลงทุนต่างประเทศเป็นสิ่งที่เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นภาพของการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในอนาคต ซึ่งในครั้งนี้ได้รับการตอบรับที่ดี โดยในวันนี้มีนักลงทุนต่างชาติยืนยันที่จะเข้าร่วมงานแล้วกว่าร้อยราย”

เหตุผลที่เลือกจัดงานไทยแลนด์โฟกัสในช่วงเดือนส.ค.ของทุกปีนั้น เพราะต้องการให้นักลงทุนต่างชาติได้เห็นพัฒนาการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นช่วงที่ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ได้ประกาศออกมาแล้ว โดยธีมงานในปีนี้คือ “A New Growth Strategy”  หรือ โอกาสใหม่ของธุรกิจในประเทศไทย โดยต้องการแสดงให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นว่าประเทศไทยมีกลุ่มธุรกิจใหม่ที่เติบโตได้ดี ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม 30 บริษัทขนาดใหญ่ของตลาดหลักทรัพย์นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากอดีต ทั้ง ภาคบริการ การท่องเที่ยวและ โรงพยาบาล ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจใหม่ของประเทศ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจในประเทศไทยที่เริ่มมีรายได้จากภาคบริการมากขึ้น ไม่ได้พึ่งพิงกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเช่นในอดีต

และจุดแข็งอีกด้านหนึ่งที่ต้องการเสนอให้กับนักลงทุนได้รับทราบ คือการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ซึ่งแสดงว่าธุรกิจไทยเริ่มกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจต่างประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการจัดเซคชั่นเกี่ยวกับงานด้านประชารัฐ ของรัฐบาลที่จะมีส่วนสำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยมี อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตัวแทนของภาครัฐบาล เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

งานไทยแลนด์โฟกัสนั้น เป็นช่องทางให้กับผู้ประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยได้มีโอกาสในการพบนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น โดยในครั้งนี้จะมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 140 บริษัทที่จะพบกับนักลงทุนต่างชาติ ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่น ซึ่งการเข้าพบนักลงทุนสถาบันต่างชาติมี ทั้งรูปแบบวันออนวัน (One on One) รวมถึงการจัดกลุ่มให้นักลงทุนได้ไปพบกับสถานที่จริง

โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มธุรกิจอาหาร ซึ่งจะนำนักลงทุนเข้าเยี่ยมชมการผลิตของกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) CPF , บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) TU 

กลุ่มที่ 2 เข้าดูงานในเรื่องภาคบริการ โดยให้ลงสถานที่จริง ของห้างสรรพสินค้าขนาดใหย่ อย่าง บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) BIGC , บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) ROBINS เพื่อให้ทราบถึงกำลังซื้อในประเทศ และกลุ่มที่ 3 ลงพื้นที่โครงการรถไฟฟ้าตรงจุดเชื่อมต่อสถานนีบางซื่อ เพื่อให้เห็นถึงการเติบโตของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และโอกาสธุรกิจใหม่หลังจากระบบการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่กำลังจะเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางของกรุงเทพ

สำหรับผลที่เกิดขึ้นหลังจากการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสนั้น ตลาดหลักทรัพย์มองว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ตัวเลขของผู้ที่เข้าร่วมงานในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าบริษัทจดทะเบียน 2 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมด จะเข้าร่วมงานอย่างสม่ำเสมอประจำทุกปี และพบว่าบริษัทเหล่านี้มีนักลงทุนต่างชาติเข้าถือหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้งานไทยแลนด์โฟกัส จะเป็นเวทีสำคัญที่ให้บริษัทจดทะเบียนได้เตรียมความพร้อมและขัดเกลาการให้ข้อมูลกับนักลงทุนต่างชาติ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น สร้างความสนใจให้กับนักลงทุนต่างชาติในอนาคต

อย่างไรก็ตาม สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้นั้นแม้ว่านักลงทุนในประทเศจะมองว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะมีมูลค่าที่ไม่ถูกเมื่อเทียบกับในอดีต ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเราอยู่ใกล้ข้อมูลและความเคลื่อนไหวที่มากกว่าต่างประเทศ แต่ในทางกลับกันนักลงทุนสถาบันยังให้ความสนใจในหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทิศทางหลังจากนี้ยังเชื่อว่านักลงทุนสถาบันจะยังเข้าซื้อหุ้นไทยเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา

ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐที่นักลงทุนให้ความสนใจ เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะมีผลกระทบกับตลาดทุนไทย ซึ่งยอมรับว่าปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบกับตลาดทุนไทย ทั้งนี้ต้องติดตามว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐจะเกิดขึ้นเร็วอย่างที่นักลงทุนวิตกหรือไม่ โดยหัวใจสำคัญคือการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด แต่ด้วยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยที่ยังแข็งแกร่งทำให้เชื่อว่าจะสามารถรองรับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้