ศาลฎีกายกฟ้อง 'สนธิ' รอดคดีหมิ่น 'ทักษิณ'

ศาลฎีกายกฟ้อง 'สนธิ' รอดคดีหมิ่น 'ทักษิณ'

ศาลฎีกายกฟ้อง"สนธิ"คดีหมิ่น"ทักษิณ" ชี้ไม่ได้ร่วมเผยแพร่ผ่านรายการ ยามเฝ้าแผ่นดินด้าน“สโรชา” ศาลฎีกาพิพากษาแก้ มีความผิดเผยแพร่ รอลงอาญา2ปี

ที่ห้องพิจารณา 901 เวลา 09.45 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.3323/2550 ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายสมบูรณ์ คุปติมนัส และนายสรรพวิชช์ คงคาน้อย ผู้รับมอบอำนาจช่วง เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) , นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ อดีตผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , 328 กรณีเมื่อวันที่ 24 ส.ค.50 นางสโรชา จำเลยที่ 2 นำเทปการปราศรัยของนายสนธิ จำเลยที่ 1 ที่บันทึกในประเทศสหรัฐฯ มาออกอากาศในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และ นสพ.ผู้จัดการรายวันของจำเลยที่ 3 นำข้อความมาตีพิมพ์ ทำนองว่า นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลของนายทักษิณ บอกกับนายสนธิ ถึงสาเหตุที่ต้องออกจากรัฐบาล เนื่องจากตลอด 8 ชั่วโมง หลังการยึดอำนาจรัฐประหารของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 นายทักษิณ ได้พูดจาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง

โดยคดีนี้ ศาลรับฟ้องเฉพาะ นายสนธิ จำเลยที่ 1 และ นางสโรชา จำเลยที่ 2 ส่วน บมจ.แมเนเจอร์ จำเลยที่ 3 ศาลยกฟ้อง โดยนายสนธิ และนางสโรชา จำเลยที่ 1-2 ให้การปฎิเสธ

ขณะที่ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 พ.ค.55 ให้จำคุกนายสนธิ และนางสโรชา จำเลยที่ 1-2 คนละ 6 เดือน และปรับคนละ 20,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.ผู้จัดการรายวัน แนวหน้า ข่าวสด เดอะเนชั่น ไทยโพสต์ เป็นเวลา 7 วัน

ต่อมา จำเลยทั้งสอง ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยศาลอุทธรณ์ เห็นว่า จากพฤติการณ์ของโจทก์ มีเหตุเพียงพอที่จะทำให้พสกนิกรชาวไทย ที่มีความเคารพเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงจำเลยที่ 1ซึ่งเห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นการจาบจ้วงสถาบัน ต้องการทำตัวเหนือองคมนตรี ข้อความที่จำเลยที่ 1 ที่กล่าวปราศรัยจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง

ภายหลังฝ่ายโจทก์ ได้ยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองด้วย 

โดยวันนี้ นายสนธิ และนางสโรชา จำเลยที่ 1-2 เดินทางมาศาลพร้อมฟังคำพิพากษาฎีกา

ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ ขณะเกิดเหตุ นายสนธิ จำเลยที่ 1 ร่วมจัดรายการกับนางสโรชา จำเลยที่ 2 แต่อย่างใด โดยคำปราศรัยของนายสนธิ จำเลยที่ 1ดังกล่าว เป็นการปราศรัยที่ประเทศสหรัฐฯ ถึงแม้คำปราศรัยของนายสนธิ จำเลยที่ 1 อาจมีลักษณะหมิ่นประมาทฯ แต่เกิดขึ้นก่อนวันที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้อง

จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นในการจัดรายการกับนางสโรชา จำเลยที่ 2

แต่การกระทำของนางสโรชา จำเลยที่ 2 ที่นำคำปราศรัยของนายสนธิ จำเลยที่ 1 มาออกอากาศ จึงถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ ที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องนายสนธิ จำเลยที่ 1

ส่วน นางสโรชา จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 20,000 บาท โดยโทษจำคุกนั้นให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

ภายหลังฟังคำพิพากษาฎีกา นายสนธิ กล่าวสั้นๆ ถึงประเด็นมาของนายกรัฐมนตรีในอนาคตว่า ตนไม่ได้สนใจที่มาของนายกรัฐมนตรีว่าจะมาจากไหน จะมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งก็ได้

แต่เมื่อเข้ามาแล้ว จะต้องทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งปัญหาใหญ่ของบ้านเรา คือกลุ่มทุนใหญ่ครอบงำอยู่เหนืออำนาจทางการเมือง ทำให้ประชาชนเดือดร้อนถูกเอารัดเอาเปรียบ