ออลล์ฯชูจุดขายราคาถูก

ออลล์ฯชูจุดขายราคาถูก

ออลล์ อินสไปร์ บุกหนักเปิด 3 โครงการมูลค่า 5 พันล้าน ชูจุดขายราคาถูก 20%

นายธนากร ธนวรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า แผนการลงทุนของบริษัทนับจากนี้ไป จะขยายการพัฒนาโครงการในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด รองรับแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ วางไว้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ปัจุบันบริษัทอยู่ในช่วงของการสร้างแบรนด์เพื่อให้ผู้บริโภคบริโภครู้จักมากยิ่งขึ้น

โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่เปิดอย่างน้อยปีละ 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบ รวมทั้ง โครงการให้เช่า  เบื้องต้นมองตลาดเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ หรือโรงแรมในเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต ด้วย เพื่อสร้างการรับรู้รายได้ต่อเนื่อง  นอกจากนี้ บริษัทได้มีการเตรียมงบประมาณสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในปี 2560 ไว้ที่ 1,500 ล้านบาท

 ล่าสุดบริษัทเปิดตัวโครงการ"ดิเอ็กเซล คูคต ลำลูกกาคลอง 2"เป็นโครงการคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น บนพื่นที่กว่า 5 ไร่ จำนวน 3 อาคาร จำนวน 581 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นเฉลี่ย 950,000 บาทต่อตารางเมตร มูลค่าโครงการรวม 700 ล้านบาท จะเปิดขายวันที่ 17 ก.ย.นี้  ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการขออนุญาตก่อสร้าง และอยู่ระหว่างจัดทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือ อีไอเอ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในต้นปี 2560 และคาดว่าแล้วเสร็จได้ภายในปี 2561

ในช่วงปลายปีนี้ มีแผนจะพัฒนาโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ทำเลเกษตรนวมินทร์ พื้นที่ใช้สอย 160-170 ตร.ม.มูลค่า 450 ล้านบาท ราคาขายประมาณ 3 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 9 บนเนื้อที่ 6 ไร่

 “เราเป็นบริษัทขนาดเล็ก จะใช้กยุทธ์การบริหารเรื่องต้นทุนก่อสร้าง ด้วยการซื้อที่ดินกับเจ้าของโดยตรง ทำให้ได้ราคาที่ดินถูกกว่า 30% และจะเข้าไปในเป็นรายแรกในทำเลนั้นๆ ทำให้ขายราคาถูกกว่าตลาด 20% เช่น ทำเลคลองหลวง ลำลูกกา เป็นสถานีปลายทางของสายสีเขียว เราไปตั้งแต่มีการอนุมัติโครงการ ซึ่งที่ดินยังมีราคาไม่สูงมาก  แต่ปัจจุบันราคาทีดินเสนอขายอยู่ที่  1 แสนบาทต่อตร.ว. ปรับขึ้นมา 100% “  

อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ 200 ล้านบาท ส่วนในปี  2560 คาดว่าจะมีรายได้ 200 ล้านบาท และในปี 2561 ตั้งเป้ามีรายได้ที่ 3,000 ล้านบาท

 สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ยังไปได้ แต่ไม่ได้หวือหวามากนัก แต่มองว่า ถ้าหลังการเลือกตั้งปี 2561 ตลาดน่าจะกลับมาเติบโตมากขึ้น