Daily Market Outlook (16 ส.ค.59)

Daily Market Outlook (16 ส.ค.59)

มีลุ้นมาตรการกระตุ้นจากหลายธนาคารกลาง

คาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นวันนี้ หลังจากตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ออกมาดีมาก หนุนความมั่นใจในเศรษฐกิจ ในขณะที่ตลาดมีทีท่าไม่ได้หวาดวิตกต่อเหตุระเบิดในจังหวัดท่องเที่ยวภาคใต้จนเกินไปนัก ปัจจัยภายนอกการคาดการณ์ว่าญี่ปุ่นและจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีกหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ที่ย่ำแย่และแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่ลดลง ทำให้มีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงกลับมา การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์น่าจะหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย

หุ้นเด่นวันนี้: CK (Bt32.75; BUY, AWS TP Bt39.50)

CK ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/59ที่ 1.03 พันล้านบาท แม้ลดลง 38 % YoYแต่เพิ่มขึ้น 237% QoQซึ่งดีกว่าที่เราคาดการณ์ที่ 683 ล้านบาทอย่างมากเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายการลงทุนโครงการไซยะบุรี ให้กับ CKP มูลค่า1.7 พันล้านบาท หากหักกำไรพิเศษนี้ออกไป CK มีกำไรเพิ่มขึ้นมากจากไตรมาส 2/58 ที่มีผลขาดทุนการดำเนินงาน3 ล้านบาท โดยกำไรที่แข็งแกร่งของไตรมาส 2/59 นี้มาจากงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นของโครงการไซยะบุรี มูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ทำให้กําไรสุทธิงวดครึ่งแรกของปี 2559 อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท คิดเป็น 64% ของประมาณการทั้งปีของเราที่ 2.1 พันล้านบาทแม้ว่าไตรมาสนี้จะมีรายได้พิเศษที่เกิดเพียงครั้งเดียวทำให้กำไรก้าวกระโดด แต่พื้นฐาน ของ CK ยังถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยมูลค่าหุ้นของ CK ที่เราให้ไว้ 39.50 บาทจากวิธี sum-of-the-parts จากกิจการในตลาดฯที่ CK ถือหุ้น ได้แก่BEM , CKP และ TTW โดยแยกมูลค่าออกเป็น 25.06 บาท จาก BEM, 4.28 บาท จาก CKP และ 5.23 บาท จาก TTW ขณะที่ลำพังธุรกิจของ CK เท่ากับ 24.70 บาท ซึ่งต้องหักหนี้สินสุทธิทั้งหมด 19.54 บาท เราคาดกำไรปกติของ CK ในปี 2559 จะก้าวกระโดด 1,044% YoY และเพิ่มอีก 3.8% YoY ในปี 2560 ปัจจัยบวกที่จะตามมาคือยังมีโครงการภาครัฐอีกหลายโครงการเตรียมเปิดประมูล และเร่งให้เกิดการก่อสร้างในช่วงอีก 1 ปีครึ่งต่อจากนี้ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย จะต้องเปิดประมูลงานโยธาสำหรับระบบการเดินรถอีก 25 พันล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีส้ม 83 พันล้านบาท สายสีชมพู 57 พันล้านบาท สายสีเหลือง 55 พันล้านบาท สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 อีก 52 พันล้านบาท รวมถึงโครงการรถไฟรางคู่ และมอเตอร์เวย์ Price Pattern ของ CK ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มขาขึ้น จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal คาดว่ายังน่าจะได้เห็นการทำ New High ซึ่งจะเป็น New All Time High ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 37.25 บาท ทั้งนี้ CK มีจุด Stop Loss ระยะสั้นในรอบนี้อยู่ที่ 31.25 บาท(Resistance: 33.25, 33.75, 34.50; Support: 32.25, 31.50, 31.00)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• GDP ไตรมาส 2/59 เติบโตชนะไตรมาส 1/59สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) วานนี้ได้รายงานตัวเลขการเติบโต GDP ไตรมาส 2/59 ที่ 3.5% เพิ่มจาก 3.2% ในไตรมาส 1/59 ส่วนการเติบโตครึ่งแรกปี 59 เท่ากับ 3.4% เพิ่มขึ้นจาก 2.8% ในครึ่งแรกปี 58 การเติบโตมาจากการขยายตัวของการผลิตนอกภาคการเกษตรโดยเฉพาะภาคบริการ และยังหนุนโดยการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง การใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคของครัวเรือนที่ดีขึ้นและภาคการเกษตรที่ฟื้นตัว ความเห็น: แม้สภาพัฒน์จะหั่นคาดการณ์ส่งออกลงเป็น -1.9% จากเดิม -1.7% แต่ก็ยังคงเป้าการเติบโตเศรษฐกิจทั้งปีไว้ที่ 3-3.5% เพิ่มจาก 2.8% ในปี 58 ช่วยยืนยันได้พอสมควรว่าการเติบโตเศรษฐกิจยังคงเดินหน้า

• ททท. เตรียมเรียกความเชื่อมั่นภาคการท่องเที่ยวกลับคืนมาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมออกมาตรการพิเศษในการเรียกความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวกลับคืนมาโดยเร็ว ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะประกอบไปด้วย การจัดวันหยุดพิเศษในช่วงวันที่ 26-27 ก.ย. สอดคล้องกับวันท่องเที่ยวโลกที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ก.ย. ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะจัดและโปรโมทเทศกาลท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น รวมไปถึงการจัดงานไทยเที่ยวไทยเพื่อสร้างการตระหนักรู้และสนับสุสให้ท่องเที่ยวในประเทศ (Bangkok Post)

• PTT (344.00 บ.) รายงานกำไรสุทธิงวด 2Q59 อยู่ที่ 2.49 หมื่นลบ. ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย 5% QoQและ 5% YoY (SET) ความเห็น: ผลประกอบการถือเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 2.69 หมื่นลบ. (Bloomberg consensus) โดย PTT ได้รับผลบวกภายใต้สถานการณ์การฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส เนื่องจากต้นทุนก๊าซฯ ในธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ยังคงปรับตัวลดลง (มี Lag time จากราคาน้ำมันดิบราว 6-12 เดือน) รวมถึงบริษัทร่วมซึ่งประกอบธุรกิจปิโตรเลียมขั้นกลางมีการบันทึกกำไรจากผลของสต็อกน้ำมัน ชดเชยกับการอ่อนตัวลงของผลประกอบการหน่วยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) จากผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ราคาน้ำมัน

• TRUE (8.90 บาท) คาดว่าจะออก Pokemon Go เวอร์ชั่นไทยได้ภายในไตรมาสหน้า โดยจะมีการออกแพคเกจมือถือสำหรับผู้เล่น Pokemon Go ด้วย ทั้งนี้ Pokemon Go ที่ออกมาเมื่อ 6 ส.ค. เป็นเวอร์ชั่นต่างประเทศซึ่งไม่ว่าค่ายมือถือไหนก็สามารถดาวน์โหลดได้ ผู้บริหาร TRUE ได้กล่าวว่า Pokemon Go และ English Premier League จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนรายได้อันสำคัญ (The Nation) ความเห็น: TRUE อาจจะออกแพ็คเกจเฉพาะสำหรับ Pokemon Go ที่น่าสนใจออกมา แต่ผู้เล่นก็ยังมีทางเลือกใช้เวอร์ชั่นต่างประเทศ หากเวอร์ชั่นไทยไม่เวิร์ค เราคิดว่าผลบวกน่าจะน้อยกว่าที่ตลาดคาดกันตอนนี้

ต่างประเทศ

• ราคาพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันจันทร์ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ้างอิงปรับตัวขึ้นจากที่ระดับเกือบต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์เนื่องจากความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ กระตุ้นให้เกิดความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลง 7/32 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ที่ระดับ 1.541% เพิ่มขึ้น 2 bps จากเมื่อวันศุกร์ (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเทียบกับสกุลเงินหลักเมื่อวันจันทร์ โดยถูกกัดเซาะจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอันอ่อนแอที่ประกาศเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งทำให้เกิดความคาดหวังเพิ่มขึ้นว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลง 0.1% อยู่ที่ระดับ 95.61 จุด หลังจากลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับแต่วันที่ 3 ส.ค. เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่วนเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.2% อยู่ที่ 1.1181 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันจันทร์ โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินทั่วโลกและการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเกือบแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์เนื่องจากมีการเก็งกันว่าผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อาจเปิดช่องในการปรับลดปริมาณการผลิต อีกทั้งมีการคาดการณ์ว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นซึ่งเป็นแรงผลักดันให้หุ้นปรับตัวขึ้น (Reuters)

• ภาวะถดถอยของกำไรของบริษัทที่ใช้ในการคำนวณดัชนี S&P500 ซึ่งเริ่มขึ้นในไตรมาส 3/58 มีแนวโน้มจะสิ้นสุดในไตรมาส 4 ของปีนี้ เนื่องจากมีข้อมูลจากทอมสัน รอยเตอร์ซึ่งแสดงประมาณการการเติบโตของกำไรของบริษัทที่ใช้ในการคำนวณดัชนี S&P500 ในไตรมาส 4/59 อยู่ที่ 8.3% (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันจันทร์ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ นำโดยหุ้นกลุ่ม healthcare หลังจากที่บริษัทยา UCB สัญชาติเบลเยียมได้รับคำตัดสินของศาลสหรัฐฯ ในเชิงบวก ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษปรับตัวสูงขึ้นโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นยุโรปเนื่องจากค่าเงินปอนด์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงภายใต้การผ่อนคลายมาตรการทางการเงิรนของธนาคารกลางอังกฤษ (Reuters)

เอเชีย:

• ตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งในวันจันทร์จากหุ้น blue-chip ในตลาด CSI300 เพิ่มขึ้น 3%สู่ระดับสูงสุดในรอบเจ็ด เดือน ท่ามกลางการเก็งกำไรว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมามากขึ้น หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจของทางการออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดในเดือน ก.ค.(Reuters)

• ดัชนีนิเคอิ ญี่ปุ่น ปรับตัวลดลง 0.3% ในวันจันทร์ จากผลของตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอซึ่งคาดว่า BOJ จะออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินอีกเร็ว ๆ นี้ (Reuters)

• ติดตามการทบทวนนโยบาย ของ BOJ ในเดือน ก.ย.:BOJ จะมีการทบทวนนโยบายในเดือนก.ย.นี้ สำหรับการอภิปราย เป้าหมายในการขยายฐานเงินผ่านการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ แต่เป็นความท้าทายที่จะหลีกเลี่ยงตลาดพันธบัตร BOJ ประกาศ เดือนสุดท้ายที่จะทบทวนนโยบายขณะที่นักลงทุนกลัวว่าธนาคารกลางอาจลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลของตน(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาน้ำมันแตะจุดสูงสุดรอบห้าสัปดาห์วันจันทร์ เพิ่มขึ้นถึง 10% หรือมากกว่าในขาขึ้นช่วงสามวันนี้เพราะเกิดการเก็งกำไรกันอย่างเข้มข้นว่าผู้ผลิตน้ำมันจะดำเนินการช่วยพยุงราคาท่ามกลางอุปทานที่ล้นเกิน Brent ล่วงหน้าปรับขึ้น 1.38 ดอลลาร์สหรัฐ (+2.9%) ปิดที่ 48.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ไม่กี่นาทีหลังตลาดปิด ได้บวกเพิ่มขึ้นแตะ 48.46 ดอลลาร์ หรือจุดสูงสุดนับแต่ 12 ก.ค. ราคาน้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าบวก 1.25 ดอลลาร์สหรัฐ (2.8%) ปิดที่ 45.74 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังปิดตลาดได้แตะจุดสูงสุดนับแต่ 21 ก.ค. ที่ 45.87 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ราคาทองปรับขึ้นวันจันทร์ เพราะค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงจากการลดการคาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ราคาทองคำตลาดจรบวก 0.4% ปิดที่ 1,340.49 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองคำบวกถึง 1.3% หลังข้อมูลวันศุกร์ ก่อนที่จะถอยลงมา ราคาทองคำล่วงหน้าสหรัฐบวก 0.3% ปิดที่ 1,347.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (Reuters)