ผู้ว่าอุดรฯเยี่ยมครอบครัวเด็กไทยที่กลับจากอียิปต์

ผู้ว่าอุดรฯเยี่ยมครอบครัวเด็กไทยที่กลับจากอียิปต์

ผู้ว่าอุดรฯ เยี่ยมครอบครัวเด็กไทยที่กลับจากอียิปต์ มอบเงิน-พาทำบัตร ปชช.

จากกรณีเด็กชายไทยถูกส่งอยู่ที่ประเทศอียิปต์ ที่ไปอยู่กับแม่เลี้ยงชาวอียิปต์และถูกทำร้ายร่างกาย จนต้องหนีออกจากบ้าน กลายเป็นเด็กเร่ร่อนในอียิปต์อยู่หลายปี จนได้ขอความช่วยเหลือต่อสถานเอกอัคราชฑูตไทย ณ กรุงไคโร ประเทศอียิบต์ ให้ช่วยติดต่อกับผู้เป็นแม่ ที่อยู่ที่ อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี และได้เดินทางกลับถึงไทย โดยมีแม่และคนในครอบครัวเดินทางไปรับตัวที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กลับถึงบ้านที่ จ.อุดรธานี แล้ว

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 31 กรกฎาคม นายชยาวุธ จันทร ผวจ.อุดรธานี , นายภูมิพัฒน์ ธนาสิทธิตานนท์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.อุดรธานี, นายรณยุทธ พรหมายน นายอำเภอทุ่งฝน พร้อมเหล่ากาชาด จ.อุดรธานี

และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปยังบ้านของนางหลิว บิลาล (นาคะหงษ์) อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 228/10 บ้านทุ่งใหญ่ ต.ทุ่งใหญ่ อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี แม่ของน้องแซม หรือ นายธนากร บิลาล อายุ 16 ปี เพื่อติดตามความเป็นอยู่ หลังจากที่ครอบครัวของน้องแซม พาตัวน้องแซมกลับมาถึงบ้านที่ จ.อุดรธานี ตั้งแต่กลางดึกของคืนที่ผ่านมา

โดยที่บ้านของนางหลิวฯ เป็นบ้าน 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ มีญาติพี่น้องของน้องแซมฯ มาสอบถามเรทื่องที่เกิดขึ้น แต่ติดปัญหาที่น้องแซม ไปอยู่ที่ประเทศอียิบต์มานานกว่า 7 ปี ทำให้ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ พูดได้แต่ภาษาอังกฤษ ซึ่งทางนายชยาวุธฯ ผวจ.อุดรธานี ได้สอบถามกับนางหลิวฯ และน้องแซม ถึงประวัติก่อนที่น้องแซมจะไปอยู่ที่ประเทศอียิบต์ และการติดต่อช่วยเหลือ จนน้องแซมได้เดินทางกลับประเทศไทย และได้พบกับผู้เป็นแม่แท้ ๆ และรับตัวกลับมาบ้าน

นางหลิวฯ เล่าให้กับทาง ผวจ.อุดรธานี ฟังว่า เคยมีสามีเป็นชาวอียิปต์ ชื่อนายอับเดลราฟี บิลาล ที่จดทะเบียนสมรสกัน แต่ได้เลิกกันตั้งแต่น้องแซมอายุประมาณ 8 เดือน เนื่องจากนายอับเดลราฟีไปมีภรรยาใหม่อยู่ที่พัทยา จนน้องแซมมีอายุ 1 ขวบ จึงแต่งงานใหม่กับ นายรุ่งวิไล พิลาแดง อายุ 48 ปี และเราได้ร่วมกันเลี้ยงน้องแซมมาจนถึงอายุ 7 ขวบ ตอนนั้น นายอับเดลราฟี ต้องการให้ส่งน้องแซม ไปเรียนที่อียิปต์ ตนมีฐานะยากจน ไม่มีปัญญาจะส่งลูกเรียนสูงๆ ได้จึงยอมให้น้องแซมไป

“ตอนนั้นน้องแซมเรียนอยู่ชั้น ป.2 แล้ว ที่ตนให้ไปเพราะห่วงอนาคตลูก และเขาบอกว่าอยากเรียนสูง ๆ เพื่อจะได้มีอนาคตที่ดี โดยไม่ทราบว่าอดีตสามีจะนำลูกไปไว้กับภรรยาเก่าชาวอียิปต์ ซึ่งเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น มาอยู่กับภรรยาใหม่อีกคนที่พัทยา ทิ้งลูกไว้กับแม่เลี้ยง ช่วงปีแรกยังติดต่อกันได้ แต่หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อกันได้ จนมาปี 2554 จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากนายขจิตร ชัยนิคม อดีต ส.ส.อุดรธานี ในขณะนั้น และได้พาเข้าร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรม ซึ่งช่วยเหลือประสานกรมการกงสุล แต่ยังไม่สามารถติดต่อลูกได้ จนเมื่อ3เดือนก่อน ได้รับแจ้งจากกรมการกงสุลว่า ลูกติดต่อมาให้ตามหาแม่ จึงเดินทางมาที่กรมการกงสุล จนทำเรื่องส่งตัวลูกกลับมาประเทศไทยได้ ดีใจมากที่ได้ลูกกลับมา และจะดูแลเขาให้ดีที่สุด" นางหลิวกล่าว

จากนั้นนายชยาวุธ จันทร ผวจ.อุดรธานี ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวของน้องแซม 3,000 บาท พร้อมถุงยังชีพจากเหล่ากาชาด จ.อุดรธานี รวมทั้งมีเงินของปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มอบเงินส่วนตัวให้ 10,000 บาท และจาก สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อีก 2,000 บาท โดยนายชยาวุธฯ บอกว่า เงินที่มอบให้ เพื่อให้น้องแซม ได้นำไปซื้อเสื้อผ้า รองเท้า เพื่อให้ได้ปรับตัวเข้ากับประเทศไทย และได้กำชับให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาดูแล ทั้งเรื่องการศึกษา เรื่องของสุขภาพ ที่ต้องมีการปรับตัวเมื่อกลับมาอยู่ประเทศไทย และขอให้ครอบครัวของน้องแซมดูแลให้ดี เพราะน้องแซมฯ อยากจะกลับมาอยู่กับแม่แท้ๆ ของตัวเอง

จากนั้นนายชยาวุธฯ ผวจ.อุดรธานี พร้อมคณะ ได้พาน้องแซม เดินทางต่อไปยังที่ว่าการอำเภอทุ่งฝน เพื่อให้น้องแซมฯ ได้ทำบัตรประจำตัวประชาชน โดยทางนายรณยุทธ พรหมายน นายอำเภอทุ่งฝน ได้ให้ความสะดวกในการทำบัตรประจำตัวประชาชนให้กับน้องแซมครั้งนี้ และหลังจากได้บัตรประชาชน นายชยาวุธฯ ผวจ.อุดรธานี ได้ทำพิธีมอบบัตรประชาชนให้กับน้องแซมฯ ด้วยตัวเอง

นายชยาวุธ จันทร ผวจ.อุดรธานี ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ครอบครัวไปรับน้องแซมกลับมาถึงบ้านประมาณ 02.00 น. วันนี้ ซึ่งทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ประสานมายัง จ.อุดรธานี ให้รับช่วงดูแลต่อ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงลงพื้นที่มาเยี่นมเยียนน้องแซมที่บ้าน และจากการพูดคุยกับทางแม่ของน้องแซมทำให้เกิดความสบายใจ เพราะทราบว่าทางพ่อที่เป็นสามีใหม่ของแม่น้องแซม ก็เคยเลี้ยงน้องแซมมาตั้งแต่เกิดจนถึงน้องอายุ 7 ขวบ ก่อนที่น้องจะไปอยู่ที่อียิปต์ ทำให้มีความอบอุ่นกับตัวน้องแซม เพราะตัวของพ่อก็เดินทางไปรับที่สนามบินสุวรรณภูมิด้วย

“พาน้องแซมมาถ่ายรูปทำบัตรประชาชน เพราะมีฐานข้อมูลเก่าอยู่ในระบบ ที่เกิดในประเทศไทย มีชื่ออยู่ในฐานทะเบียนราษฎร์ชัดเจน วันพรุ่งนี้ผมได้ให้ทางนายอำเภอทุ่งฝน พร้อมด้วยสาธารณสุขอำเภอ พาน้องแซมไปทำประวัติเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ และให้ทาง กศน.มาดูเรื่องของการเรียน เพราะตอนที่น้องแซมไปอียิปต์จบเพียงชั้น ป.1 เท่านั้น และไปอยู่ที่ต่างประเทศก็ไม่ได้เรียนในระบบอย่างครบถ้วน ก็ให้มาเริ่มเรียนใหม่ เพราะตัวน้องแซมก็มีอายุ 16 ปีแล้ว รวมทั้งจะดูเรื่องของอาชีพที่เขาถนัด เพื่อจะได้ดำเนินการคู่ขนานกันไป”

ด้านนางหลิว บิลาล แม่ของน้องแซม เปิดเผยว่า ดีใจมากที่ได้ไปพาลูกกลับมาบ้าน มันเหมือนเรื่องปาฏิหาร์ยที่ได้เขากลับมา เพราะที่ผ่านมาเราก็ติดตามหาตัวเขามาตลอด จนไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนแล้ว ที่จะนำลูกกลับมาได้ และเห็นเขายังเป็นปกติดีก็ยิ่งปลื้มใจ สิ่งแรกที่อยากให้เขาทำ คือ เรื่องเรียน เพราะที่เขาไปอยู่ที่นั่น เขาอยากไปเรียนสูงๆ เพื่อจะได้มีการงานที่ดีที่มั่นคงทำ เขาห่วงอนาคตของเขา ไม่อยากไปเป็นคนเกเรเหมือนเด็กทั่วไป เขายังสอยตัวแม่เองตั้งแต่เด็ก ก่อนที่จะไปอยู่ที่นั่น บอกว่าเขาจะไปเพื่ออนาคตของเขา ขนาดเราบอกกับเขาว่า ไปแล้วไม่ห่วงแม่หรือ เขาบอกว่า เขาอยากไปเพื่ออนาคตของเขา จึงประสานไปกับสามีเก่าจนได้ไปอยู่ที่อียิปต์

“ถึงวันนี้ทางแม่ก็อยากให้มีคนเข้ามาช่วยครอบครัวด้วย เพราะตัวเราก็ป่วย หมอบอกเป็นเนื้องอกในมดลูก จะต้องผ่าตัดเอาออก ทางพ่อก็หูตาไม่ดี เป็นช่าวจะหยิบจับอะไรก็มองไม่ค่อยเห็น ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ซึ่งทางแม่จะพยายามหาอาชีพเสริม เพื่อที่จะมาดูแลเขาได้ คงจะหาค้าขายเล็กๆ น้อย ๆ ให้พอเลี้ยงชีพไป”

นางหลิวฯ กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณ ทุกกระทรวงที่เข้ามาช่วยเหลือจนลูกได้กลับบ้าน โดยเฉพาะกระทรวงต่างประเทศ และ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ทุก ๆ คน ที่ให้ความช่วยเหลือ เพราะวานนี้ไม่ได้ขอบคุณใครเลย มัวแต่ดีใจที่เห็นหน้าลูกที่กลับมาประเทศไทยได้ ซึ่งตองขอโทษด้วย ที่เมื่อวานไม่ได้ขอบคุณใครเลย เพราะความดีใจของเรา ทำให้ลืมไป ซึ้งน้ำใจของทุกคน ที่เข้ามาช่วยครอบครัวเรา หลังจากนี้จะหาวันที่จะทำพิธีสู่ขวัญลูกชาย ที่กลับมาบ้านตามประเพณีอีสาน รอให้เขาปรับตัวได้ก่อน จึงจะหาวันทำพิธีสู่ขวัญเขา”