'พล.อ.'ประยุทธ์' แนะต้องเอาอดีตมาเป็นบทเรียน

'พล.อ.'ประยุทธ์' แนะต้องเอาอดีตมาเป็นบทเรียน

"พล.อ.ประยุทธ์" แนะต้องเอาอดีตมาเป็นบทเรียน ระบุช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านและวางรากฐานประเทศ ลั่นพร้อมรับทุกคำติติง

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ“คืนความสุขให้คนในชาติ” ว่า ตนอยากฝากความในใจถึงพี่น้องประชาชน คนไทย ทุกภาคส่วน ทุกอาชีพ ทุกรายได้ ได้มองปัจจุบันและอนาคต ท่านต้องย้อนกลับไปที่อดีตก่อน อย่างเพิ่งลืม ลืมสิ่งที่มันเพิ่งผ่านมาไม่นาน ก่อน 22 พ.ค. 57 เราต้องเอาอดีตเหล่านั้นมาเป็นบทเรียน / ในช่วงปี 58-59-60 เป็นช่วง “การเปลี่ยนผ่าน” เตรียมการวางรากฐานไว้ให้ ซึ่งในช่วงรอยต่อนี้ จะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศระยะยาว ที่จะมีผลสืบเนื่องไปในอนาคตคือหลังจากปี 60 เป็นต้นไป ตามแผนของสภาพัฒน์ฯ 60 – 64 สิ่งต่างๆ ที่เป็นปัญหาในอดีตนั้น เราทุกคนต้องช่วยกัน ว่าจะต้องไม่ย้อนกลับไปอีก อยากให้ทุกคนคิดว่า แล้วมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ฝากนักการเมืองที่ดีๆ ทุกพรรค ทุกคน ทุกกลุ่ม ได้กรุณาช่วยคิดดังๆ ออกอย่าพูดอย่างเดียวช่วยคิดด้วยแล้วก็คิดดังๆออกมาว่า อะไร นอกจากคำว่า “ประชาธิปไตย” ที่ตนไม่ขัดแย้งกับท่านหรือ คำว่า “เสียงเรียกร้องประชาชน”ที่ว่า ยังไง ที่เขาร้องมาแล้วท่านจะทำอย่างไร เพื่อให้ 2 คำนั้นมีความหมายตามที่ท่านพูดออกมา เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสเมื่อไรก็พูดออกมา สื่อสารกับประชาชน ท่านไม่ต้องบอกผมหรอกว่าท่านจะทำอะไรเมื่อท่านเข้ามาบริหารราชการ อะไรที่จะทำให้ประเทศมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน อะไรที่จะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ทำให้ประชาชนแบ่งฝ่าย เหล่านี้ โดยเป็นเห็นผลทางการเมือง ในทุกกลุ่มงานท่านต้องตอบออกมา เล่าให้เขาฟังเหมือนที่ผมเล่าอยู่ทุกวันนี้ 2 ปีมาแล้ว

"ความมั่นคง เศรษฐกิจ การศึกษา สาธารณสุข การแก้ปัญหาความยากจน การลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างความเข้มแข็งของประเทศ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบ้านเมืองเรา กับทุกประเทศที่เขากำลังเร่งพัฒนาในภูมิภาคเดียวกันกับเรา ทั้งในอาเซียนด้วยผมก็ฟังปัญหาต่างๆ จากประชาชน วันนี้ก็ยังมีความมั่นใจอยู่ในการทำงานของรัฐบาลที่ทำอยู่ แต่เขาไม่แน่ใจกับการทำงานของนักการเมือง นี้แหละคือผมเป็นห่วงนะแล้วผมเองก็ไม่ใช่ศัตรูของท่าน เพราะฉะนั้นเขาเป็นห่วงกับการทำงานของท่านในอนาคต ช่วยกันนะครับทำให้ให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกับท่านไม่อยากให้มองแต่คอยจับผิด อะไรที่ยังไม่สำเร็จก็กำลังแก้ไขอยู่ท่านก็จับผิดเล็กๆน้อยๆ รอยต่อช่องว่างเล็กๆน้อยๆ ก็แก้ไปซิครับ ในเมื่อเราวางเป้าหมายแล้วก็ต้องเดินตามแล้วก็แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเราเดิน เดินทางมันก็มีอุปสรรคมากมาย แต่ถ้ามาติอะไรที่กำลังเดินอยู่กำลังแก้อยู่ มันไปไม่ได้หรอก ต้องช่วยกันนะครับ หลายอย่างท่านก็ทำไว้แล้ว หลายอย่างท่านก็ยังทำไม่สำเร็จผมก็มาทำต่อมาแก้ไขให้มันดีขึ้น ปัญหาต่างๆที่ต้องแก้ไขมากมายบางอย่างท่านก็สร้างเอาไว้

"ผมว่าต้องมาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ทั้งนักการเมือง ทั้งทหาร ทั้งรัฐบาล ทั้ง คสช. วันนี้จากวันนี้เป็นต้นไป จะต้องช่วยกันทำให้ประเทศชาติดีขึ้น ไม่ใช่มาขัดแย้งกันด้วยประชาธิปไตย ลงประชามติเลือกตั้ง นู่นนี่ พูดมา2ปีแล้วนะ ผมก็ยังไม่เห็นท่านพูดอะไรใหม่บ้างเลยว่า ท่าจะทำอะไรเมื่อท่านเข้ามานะ คนเขารอฟังอยู่ ก็ไม่อยากให้ติติงอย่างเดียวกับสิ่งต่างๆที่ยังไม่สำเร็จที่ผ่านมาท่านอาจจะไม่สนใจมากนัก ปล่อยปะละเลยบ้างอะไรบ้าง หรือไม่อยากจะทำ ไม่คิดจะทำ เหล่านี้มองแล้วว่า ไม่ใช่ “การติเพื่อก่อ” เป็นการแสดงความเห็นที่บริสุทธิ์ใจ เพราะว่ามันมีปัญหาซึ่งทำให้เกิดปัญหา เพราะฉะนั้นจึงมองได้แต่เพียงความเพียรพยามยามที่จะทำเรื่องผิดๆให้เป็นถูก ทำถูกให้เป็นผิดซะ โดยอาศัยความไม่รู้เท่าทันของหลายภาคส่วนนะครับ ทั้งนี้ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ของรัฐบาลและ คสช. ร่วมกับประชาชน ก็คาดหวังนะครับ กับคำที่กล่าวที่นักการเมืองพูดเสมอว่า “เราจะต้องเป็นประชาธิปไตย”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ตนอยากจะให้ท่านก็ช่วยอธิบายว่า ท่านจะเป็นยังไงในประชาธิปไตยของท่าน การมีธรรมาภิบาลของท่านนั้นคืออะไร จะทำอะไรบ้างที่ให้ประชาชน ถ้าทำไปแล้ว รัฐสวัสดิการ จะใช้ใช้จ่ายงบประมาณจากไหน จะหาเงินอย่างไร ระบบเศรษฐกิจท่านจะมีรายไดประเทศอย่างไร เพราะที่ผมเข้ามามันไม่มีเรื่องพวกนี้ไง มีแต่การใช้จ่ายที่ค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องงบประมาณ ถ้าไม่แก้ไขวันนี้ ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านตรงนี้ไม่ช่วยกันก็ไปไม่ได้หมด ประชาชนก็เดือดร้อนก็ขอร้องนะ ประชาชนต้องเข้าใจว่า เราอ่อนแอ อ่อนแอมานะครับ เรารอเขามานานแล้ว วันนี้เรากำลังทำอยู่ 3 ปีเท่านั้นเอง ก็ต้องทำให้สำเร็จนะครับ อยากให้รัฐบาลของตนกับ คสช.และกับประชาชนที่เขาคาดหวัง เขาอยากจะฟังว่า ที่ท่านว่าประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย แต่เพียงอย่างเดียวนั้น โดยไม่พูดเรื่องอื่น ต้องเล่าให้เขาฟังบ้างนะ ผู้คนสับสน อลหม่าน หมดเลย ทำประชามติเขาวุ่นไปหมด มันอาจจะทำให้ประเทศไทยไม่มีเสถียรภาพนะครับ อย่างที่ต่างประเทศเป็นห่วงกังวล

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ตนยืนยันว่าจะรักษาเสถียรภาพให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับท่านด้วยว่าจะทำให้ประชาชนสงบลงได้อย่างไร สื่อ โซเชียลมีเดีย ไม่อยากให้ทุกอย่างมันกลายเป็นว่า ตนมาทำให้ท่านขัดแย้งกันมากขึ้นอีก ตนเรียนแล้วว่ามีทั้งดีและปัญหา เพราะฉะนั้นตนไม่อยากกล่าวโทษใครทั้งหมด ท่านจะตำหนิติเตียนอะไรตนก็ยอมรับได้หมดอยู่แล้วแหละไม่เป็นไร ตนไม่โกรธหรอก อย่าทำให้สถานการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกก็แล้วกันที่เกิดขึ้นในปี 57 นั้นก็มีการปฏิวัติรัฐประหารและทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ถ้าหากทุกอย่างมันดีอยู่แล้ว ประชาชนมีความสุข มีการบริหารที่โปร่งใส ก็คงไม่มีการประท้วง ไม่มีการขยายการประท้วงให้รุนแรงขึ้น มีภาพความรุนแรงใช้อาวุธสงคราม เกลียดชัง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนชัดเจนไปหมด ที่ผ่านมาโดยการสร้างวาทะกรรม เพราะฉะนั้นถ้ามันดีอยู่แล้วใครจะกล้าเข้ามาปฏิวัติ รัฐประหาร ตนว่าประชาชนไม่ยอมหรอกครับ และตนก็ไม่ทำร้ายประชาชนอยู่แล้ว แต่ทำให้มันสงบทำให้ประเทศเข้มแข็งเพราะฉะนั้นทุกอย่างถ้าใช้วาทะกรรมอย่างเดียวก็ทะเลาะกันไม่เลิก ทุกอย่างต้องมีเหตุมีผลในการทำ ในการกระทำในตัวของมันเองด้วยอีกประการหนึ่ง ผมขอฝากถึงพี่น้องประชาชน ท่านต้อง “เปิดใจ” ยอมรับ การกำหนดเป้าหมายในชีวิตที่ต้องการ ผมทราบดีว่าประชาชนต้องการมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม มีรายได้ที่สูงขึ้น มีอาชีพที่ดี เป็นหลักเป็นแหล่ง ยั่งยืน และต้องการความมีระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง / แต่ท่านก็ต้องพร้อมกับ “ปรับตัว” ยอมรับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังทำรวมกับเรากันอยู่