'นายกฯ' วอนคนไทยร่วมตระหนักคุณค่าภาษาไทย

'นายกฯ' วอนคนไทยร่วมตระหนักคุณค่าภาษาไทย

“นายกรัฐมนตรี” วอนคนไทยร่วมตระหนักคุณค่าภาษาไทย แนะควรนึกถึงกาละเทศะ พูดจาควรมีหางเสียง “ครับ-ค่ะ”

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ“คืนความสุขให้คนในชาติ” ว่า ในวันนี้ วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี เป็น “วันภาษาไทยแห่งชาติ” เนื่องจากเมื่อ 50 กว่าปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงเป็นองค์ประธาน ในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย ร่วมกับคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทรงแสดงความสนพระราชหฤทัย ในการใช้ภาษาไทย ทรงห่วงใย และได้ทรงพระราชทานแนวความคิดในการอนุรักษ์ภาษาไทย รวมทั้งทรงย้ำให้ประชาชนชาวไทยนั้น ได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย เนื่องจากเป็นมรดกของคนไทยทุกคน

ผู้เป็นเจ้าของภาษาคือคนไทยทุกคนนะครับ ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติ ของตัวเองมากว่า 700 ปีแล้วนะครับ เป็นภาษาหนึ่ง ที่เก่าแก่ที่สุด ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทั้งภาษาพูดมีตัวอักษรเขียน ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยไว้ ดังที่ปรากฎบนหลัก “ศิลาจารึก” ต่อมานั้นองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ที่เรียกวาUNESCO นั้นได้ยกย่องศิลาจารึกนะครับว่าเป็น “มรดกความทรงจำของโลก” โดยได้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวอักษรไทย ที่อุดมด้วยคุณค่าทางวิชาการ หลายสาขา ทั้งในด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม วรรณคดี ศาสนา และจารีตประเพณี

“ผมขอให้คนไทยนั้น ทั้งชาติ ร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญ และคุณค่าของภาษาไทย อันแสดงถึงความเป็นชาติ ใช้ให้ถูกต้อง ชัดเจน ตามหลักไวยากรณ์ ทั้งการพูด อ่าน เขียน ให้เหมาะสมกับกาลเทศะ เพื่อให้เกิดความงดงามทางภาษา เช่น การพูดจามีหางเสียง “ครับ – ค่ะ” อันเป็นเอกลักษณ์และสมบัติทางวัฒนธรรม ที่โดดเด่นของชาติ ให้ดำรงอยู่ตลอดไป ก็เหมือนกับที่ผมเคยกล่าวหลายครั้งแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถท่านก็ทรงรับสั่งอยู่เสมอว่าขอให้คนไทยนั้นได้เรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ เรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานของเรามา ทั้งเรื่องภาษา วัฒนธรรม ประเพณี อันงดงามนะครับ เราก็อย่าทิ้งของเดิมนะ จะเดินไปข้างหน้าก็กลับมาดูของเดิมไว้ด้วย รักษาไว้ให้ได้”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า จากการติดตามข่าวสารด้านการศึกษาของลูกหลานของเรา ห้วงเดือน กรกฎาคม นี้ เราก็มีนักเรียน เข้าร่วมการแข่งขันต่างๆ ระดับนานาชาติ ซึ่งเกี่ยวพันกับแนวทางการศึกษา ที่เรียกว่า “STEM” นะครับ “STEM” ศึกษา อันได้แก่วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ โดยได้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น อันที่ 1 ก็คือการแข่งขันชีววิทยาโอลิมปิก ระหว่างประเทศ ที่ประเทศเวียดนาม ชนะเลิศ 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน อันที่ 2 ก็คือ การแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ ณ ประเทศมาเลเซีย ของเด็กนักเรียน ป.1 ถึง ม.3 จำนวน 63 คน สามารถคว้าชัยได้ถึง 27 เหรียญทองนะครับ และรางวัลอื่นๆ อีกรวมทั้งสิ้น 57 รางวัล ไม่ใช่น้อยเลยนะครับ น่าภูมิใจแทนเด็กๆ เขา เรื่องที่ 3 ก็คือ การแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก ระหว่างประเทศ ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ของเยาวชน ชั้นมัธยมศึกษา จำนวน 6 คน สามารถคว้าได้ 2 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และได้คะแนนรวมเป็นอันดับที่ 12 นะครับ จากทั้งหมด 109 ประเทศ มีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 602 คน ไม่ใช่ธรรมดา

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ที่ 4 ก็คือการแข่งขันประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ ระดับนานาชาติ ณ ประเทศจีน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา จำนวน 12 คน ชนะเลิศ 2 รางวัล และรางวัลอื่นๆ อีก รวมทั้งสิ้น 8 รางวัล ที่น่าสนใจนะครับ เป็น ผลงาน “เครื่องช่วยเก็บพริก” ก็เกิดจากอยากช่วยผู้ปกครองทำงาน จนสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการเก็บพริก จากเก็บด้วยมือได้ 5 กิโลกรัม ต่อชั่วโมง ซึ่งถ้าเอาเครื่องมือที่เด็กๆ คิดกันมาแล้วนี่ง่ายๆ สามารถเก็บพริกได้ 13 กิโลกรัม ต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า เหล่านี้เป็นต้น ตนขอแสดงความยินดีและชื่นชม คณะนักเรียนและคณาจารย์ทุกท่านด้วยนะครับ สำหรับการที่จะพัฒนาการเรียนรู้สำคัญที่สุดคือครอบครัว พ่อแม่จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย ในกรณี “สะเต็มศึกษา” นั้น มีความเชื่อมโยงกับทุกอุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล ที่เรียนไปแล้วว่ามี 5+5 S Curve เดิม กับ S Curve ใหม่ New S Curve จะเป็น “จุดเริ่มต้น” สนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ในอนาคต นอกจากความรู้ในตำราดังกล่าวแล้ว ผมอยากให้เด็กนักเรียน นักศึกษา ครู ให้ความสำคัญกับ “ความรู้รอบตัว” ทุกคนต้องพร้อมจะเป็นนักเรียนด้วยกัน เริ่มจากสิ่งใดที่ใกล้ตัว ยก ตัวอย่าง เช่น “เม็ดพลาสติก โพลิเมอร์ โพลีคาร์บอเนต” เป็นนวัตกรรม ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาดโลก มีอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มากมายหลายสาขา ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ กันชนรถยนต์ โครงรถมอเตอร์ไซค์ หมวกกันน๊อค อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไอที กีฬา สมาร์ทการ์ด รวมทั้งอุปกรณ์การแพทย์ เช่น เครื่องฟอกไต และหุ่นยนต์ต่างๆ

ก็จะเห็นได้ว่าทุกอย่างนั้นจำเป็นต้องเริ่มต้นจาก “เม็ดพลาสติก” ทั้งสิ้นต้องการองค์ความรู้ “สะเต็มศึกษา” เราต้องการนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้สะท้อนโอกาสในการทำงาน ที่หลากหลาย ยิ่งถ้าทุกคนได้รู้ว่าไทยนั้นเป็น 1 ใน 8 ของศูนย์การผลิตเม็ดพลาสติกที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลกนะครับ ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ตลอดปีที่ผ่านมานะครับไทยผลิตเม็ดพลาสติกป้อนตลาดโลก เกือบ 3 แสนเมตริกตัน แต่ก็น่าเสียดายที่การผลิตเม็ดพลาสติกขั้นต้น การแปรรูปและการเพิ่มมูลค่า ไปเกิดนอกประเทศไม่ได้เกิดในบ้านเรา ซึ่งเราถือว่าเราเป็น “ต้นทาง” เพราะฉะนั้นการแปรรูป ไปสร้างนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าไปอยู่ข้างนอกหมด เราก็สูญเสียโอกาส ที่จะสร้างงาน สร้างรายได้ เข้าสู่ประเทศ

นายกฯ กล่าวต่อว่า ที่ยกตัวอย่างมาก็เพราะอยากให้ครู-ผู้ปกครอง แล้วก็นักเรียนด้วยนะครับ ช่วยกันให้ความสำคัญในการ “ต่อยอด” จาก “เกร็ดความรู้” รอบๆ ตัว สถานการณ์โลก สถานการณ์ภายใน ปัจจัยภายในภายนอกของประเทศ ลูกหลาน ก็ต้องให้ความสนใจนะครับ เพราะว่าการศึกษานั้นไม่ใช่เพื่อใบปริญญาเป็นสำคัญอย่างเดียว เราต้องคิดถึงการประกอบอาชีพ เพื่อจะเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวต่อไปภายภาคหน้า ถ้าเรามองไปไกลกว่านั้น คือ เพื่อการพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันสร้าง ทรัพยากรมนุษย์ มีการพัฒนาโดยการสร้างความตระหนักรู้ ในเรื่องความรู้รอบตัวและความคิดสร้างสรรค์ ให้กับลูกหลานของเรา อย่างต่อเนื่องด้วย