กสิกรฯคาดสินเชื่อครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มฟื้นตัว

กสิกรฯคาดสินเชื่อครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มฟื้นตัว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดแนวโน้มสินเชื่อช่วงครึ่งปีหลัง มีโอกาสฟื้นตัว โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการลงทุนระยะยาว ขณะที่เงินฝากยังขยายตัวระดับต่ำ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปข้อมูลสินเชื่อ เงินฝาก และสภาพคล่อง ของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่ง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 จากเอกสารรายการย่อแสดงสินทรัพย์และหนี้สิน (ธ.พ.1.1) พร้อมประเมินแนวโน้มในระยะถัดไป

โดยสินเชื่อเดือนมิ.ย.59 เร่งตัวขึ้น จากการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก ทั้งนี้เงินให้สินเชื่อสุทธิปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2.3 หมื่นล้านบาท สู่ระดับ 10.52 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 2.98%YoY และ 0.46%YTD โดยภาพรวมสินเชื่อเดือนมิ.ย.ขยับขึ้นจากสินเชื่อในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายใหญ่ ขณะที่สินเชื่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและเล็กยังหดตัว เนื่องจากยังมีผลกระทบจากสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งยังคงมียอดการชำระคืนอยู่ในระดับสูงกว่ายอดปล่อยสินเชื่อใหม่

เงินฝากยังคงปรับลดลงเล็กน้อย 2.9 พันล้านบาท จากเดือนก่อน จากการครบกำหนดของเงินฝากประจำและเงินฝากประจำแบบพิเศษในหลายธนาคาร ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งพบว่ามีการไหลเข้าของเงินฝากออมทรัพย์จากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ จึงทำให้ตัวเลขภาพรวมเงินฝากทั้งระบบลดลงเล็กน้อยมาที่ระดับ 11.226 ล้านล้านบาท เติบโต 0.27% YTD เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน อย่างไรก็ตาม เงินฝากของเดือนมิถุนายนยังคงเติบโต 1.56% YoY เพราะเทียบกับฐานที่ต่ำของช่วงเดียวกันปีก่อน

ขณะที่สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์เดือนมิ.ย.59 ตึงตัวขึ้นตามทิศทางฟื้นตัวของสินเชื่อ และการไหลออกของเงินฝาก โดยสัดส่วนเงินให้สินเชื่อรวมต่อเงินฝากรวมกับตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม (LTD+Borrowing Ratio) ขยับขึ้นสู่ระดับ 91.41% เทียบกับระดับ 90.9% ในเดือนพ.ค. สอดคล้องกับทิศทางของเครื่องชี้สภาพคล่องอีกตัวหนึ่ง คือ สัดส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อสินทรัพย์รวม ซึ่งปรับลดลงมาที่ระดับ 20.03% จากระดับ 21.48% ในเดือนก่อนหน้า

ส่วนแนวโน้มสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 คาดว่า ธุรกิจหลักอย่างเช่นเงินให้สินเชื่อมีโอกาสฟื้นตัวจากช่วงครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะสินเชื่อภาคธุรกิจในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการลงทุนระยะยาวที่ได้รับอานิสงส์จากความก้าวหน้าในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งจะทยอยเข้าสู่ระบบมากขึ้น ขณะที่สินเชื่อรายย่อยน่าจะเติบโตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในช่วงท้ายปีเมื่อสินเชื่อเช่าซื้อทยอยปรับตัวดีขึ้น หลังผลกระทบจากโครงการรถยนต์คันแรกทยอยสิ้นสุดลง

ขณะที่ทิศทางของเงินฝาก คาดว่าขยายตัวในระดับต่ำเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อที่คงเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผนวกกับการให้ความสำคัญในเรื่องบริหารต้นทุนการระดมทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วอาจมีผลต่อทิศทางของสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก และเงินให้กู้ยืมที่ยังทรงตัวสูงใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน อันส่งผลดีต่อการประคองผลตอบแทนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในระยะที่เหลือของปีนี้