ทนายสมเด็จฯช่วง เตือน'ดีเอสไอ'แจ้งข้อกล่าวหาต้องมีหลักฐาน

ทนายสมเด็จฯช่วง เตือน'ดีเอสไอ'แจ้งข้อกล่าวหาต้องมีหลักฐาน

ทนายสมเด็จฯช่วง มั่นใจความบริสุทธิ์ ลั่นสมเด็จฯพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เตือนดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาต้องมีหลักฐานชัดแจ้ง

นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความคดีครอบครองรถเบนซ์คลาสสิคจดประกอบเลี่ยงภาษีของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จฯช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ให้สัมภาษณ์รายการกรองข่าววันเสาร์ เอฟเอ็ม 102 ภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบพบว่ารถคันดังกล่าวชำระภาษีไม่ครบถ้วนและมีการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่า โดยหลักการกฎหมายการแจ้งข้อกล่าวหาต้องแจ้งกับตัวผู้ต้องหา การแจ้งข้อกล่าวหาผ่านสื่อไม่ถูกต้อง ขณะนี้จึงถือว่ายังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ ที่ผ่านมา สมเด็จฯช่วง ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจและชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรถึงการบริจาคและเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง หากมีการแจ้งข้อกล่าวหาสมเด็จฯช่วงก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่บิดพลิ้ว และไม่มีการตั้งเงื่อนไขว่าจะต้องให้ประกันตัว สมเด็จฯช่วงยืนยันมาตลอดว่าความจริงก็คือความจริงพร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ทุกสถานที่ อย่างไรก็ตาม การแจ้งข้อกล่าวหาในคดีอาญาจะต้องมีหลักฐานชัดแจ้ง มิเช่นนั้นจะกระทบสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อดีเอสไอเสียเอง ประเด็นนี้จึงต้องพึงระวังผลกระทบด้วย

“ผมไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของดีเอสไอ และเชื่อมั่นใจจิตวิญญาณของนักกฎหมายทุกคน เดิมทีคดีนี้ดีเอสไอเคยบอกจะพิจารณาให้เสร็จภายในเดือนเม.ย. วันดีคืนดีก็แถลงบอกว่าต้องรอเอกสารจากต่างประเทศ จู่ก็มาสรุปผลการตรวจสอบ รถจดประกอบ 4,000 คัน ดีเอสไอได้ดำเนินคดีกับใครบ้าง อยากให้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่น่าเชื่อถือกับคนไทยและต่างประเทศ ผมไม่ได้ต้องการให้เอาคดีของสมเด็จฯช่วงมาเป็นหลัก แต่ในคดีทั่วไปทำกันอย่างไรก็ขอให้ทำอย่างนั้น” นายสมศักดิ์กล่าว

ส่วนประเด็นที่ว่าหากมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้วจะได้รับการประกันตัวหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คดีฆ่ายังให้ประกันแล้วคดีเพียงเท่านี้ก็ต้องอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน ในส่วนของแนวทางการต่อสู้คดีนั้น ก็ต้องยืนยันไปตามความจริงว่ารับบริจาคมา และสมเด็จฯช่วงได้เซ็นใบโอนลอยไป ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ ไม่ได้ลงมือไปซื้อเองหรือดำเนินการเอง การรับบริจาคของพระสงฆ์ต้องไปตรวจสอบความถูกผิดด้วยหรือ เพราะเป็นการบริจาคปกติ มีการบริจาครถกันเยอะแยะ ที่สำคัญรถคันนี้ไม่ได้ใช้ แต่นำเข้าเก็บในพิพิธภัณฑ์และจดทะเบียนห้ามใช้งาน อย่างไรก็ตาม ภายหลังการแถลงข่าวของดีเอสไอตนยังไม่ได้พูดคุยกับสมเด็จฯช่วง เพราะถือว่าคดียังไม่มีอะไรเป็นกิจจะลักษณะ

“คดีนี้ขอให้แยกส่วนกับการเสนอชื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ขณะนี้สมเด็จฯช่วงยังอยู่ในฐานะพยานในคดี การจะกล่าวหาให้ตกเป็นผู้ต้องหาต้องมีหลักฐาน คนบริสุทธิ์ชี้แจง 100 ครั้งก็เหมือนกันทั้ง 100 ครั้ง การเซ็นโอนลอยในเรื่องซื้อรถก็เซ็นกันเป็นปกติทั่วไป” นายสมศักดิ์กล่าว