กินเค็มเสี่ยงหัวใจล้มเหลว

กินเค็มเสี่ยงหัวใจล้มเหลว

แพทย์เตือนคนไทยวัยทำงาน 'ลดเค็ม' เลี่ยงกระตุ้นภาวะหัวใจล้มเหลว

แพทย์เตือนคนไทยวัยทำงาน 'ลดเค็ม' เลี่ยงกระตุ้นภาวะหัวใจล้มเหลว

ประชากรวัยทำงานในประเทศไทย จำนวนกว่า 38.31 ล้านคน นับเป็นกลุ่มคนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมในการทำงานในปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับความเร่งรีบ จึงทำให้คน วัยทำงานต้องทานอาหารนอกบ้าน ขาดการออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอและมีความเครียดสูง จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ และกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศได้อีกด้วย ข้อมูลของกรมควบคุมโรคล่าสุดได้แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มวัยทำงานมักมีอาการป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือดมากเป็นอันดับที่สองในเพศหญิง และอันดับที่สามในเพศ ชายในประเทศไทย

นพ. ภาวิทย์ เพียรวิจิตร อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลภายในงานประชุมวิชาการ Cardio Cocktail 2016 เปิดเผยว่า ภาวะหัวใจ ล้มเหลว ซึ่งเป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ตามที่ต้องการ จากผลกระทบของโรคความดันโลหิตสูง โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคเบาหวาน หัวใจเต้นผิดปกติ เป็นต้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ 1. หัวใจห้องขวาล้มเหลว หัวใจห้องขวาจะรับเลือดจากร่างกายแล้วสูบฉีดไปยังปอดเพื่อฟอกเลือด หากหัวใจห้องขวาล้มเหลวจะทำ ให้เกิดอาการบวมของเท้า และ 2. หัวใจห้องซ้ายล้มเหลว หัวใจห้องซ้ายจะรับเลือดที่ฟอกแล้วจากปอดและจะสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย เมื่อหัวใจห้องนี้ล้มเหลวจึงทำให้ร่างกายไม่สามารถสูบฉีดเลือด จนเนื้อเยื่อ ต่างๆ ขาดออกซิเจน เกิดการคั่งของน้ำและเกลือในปอด จนส่งให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดได้

จากข้อมูลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่ามีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยที่ 10% ต่อปี โดยมีกลุ่มผู้ป่วยเป็นคนในวัยทำงานอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และยังคงมีแนวโน้มที่มีอายุลดน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากการละเลยการดูแลสุขภาพของตนเอง รวมถึงการบริโภคโซเดียมหรืออาหารที่มีรสชาติเค็มมากเกินไป

ซึ่งสอดคล้องกับรายงานจากกรมควบคุมโรคที่แสดงให้เห็นว่าคนไทยรับประทานเกลือมากถึง 10.8 กรัมต่อวัน และมากกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำคือ 5 กรัมเท่านั้น ทั้งนี้พบว่าผู้ป่วยวัยทำงานจำนวนมากที่มี ประวัติการบริโภคโซเดียมหรืออาหารที่เค็มสูง เช่น ซีอิ้ว น้ำปลา เต้าเจี้ยว กะปิ ปลาร้า น้ำผลไม้กระป๋อง อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมที่มีการเติมผงฟูมีโซเดียม รวมไปถึง ชีส เนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่ เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงมากยิ่งขึ้นจนส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว


สำหรับการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวในปัจจุบันได้มีวิวัฒนาการที่ก้าวหน้ามากขึ้น จึงส่งผลให้การรักษาประสบความสำเร็จและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังคงต้องอาศัยความร่วมมือที่ดี ระหว่างทีมแพทย์และพยาบาลกับผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมทั้งความเหมาะสมของสภาวะของผู้ป่วยในแต่ละรายอีกด้วย อาทิ การรักษาด้วยยา การใส่เครื่องกระตุ้น CRT การใส่เครื่องป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร การซ่อมหลอดเลือดหัวใจ หรือการปลูกถ่ายหัวใจ เป็นต้น