CHG - ซื้อ

CHG - ซื้อ

พร้อมที่จะจ่ายสำหรับการเติบโตที่แข็งแกร่งในปี 2560

ประเด็นการลงทุน

เราคงคำแนะนำที่ ซื้อ เนื่องจากแนวโน้มกำไรหลักของ CHG ในปี 2560 จะสามารถเติบโตได้โดดเด่นที่สุดในกลุ่มการแพทย์ที่เราให้คำแนะนำและชนะตลาดรวมอีกด้วย โดยเราปรับราคาเป้าหมายไปเป็นสิ้นปี 2560 ด้วยราคาเป้าหมายใหม่วิธีคิดลดเงินสด ณ สิ้นปี 2560 ที่ 3.7 บาทต่อหุ้น อ้างอิงค่า WACC ที่ 8.4% และ terminal growth rate ที่ 2.0% ทั้งนี้ด้วยแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ยังคงสดใสทำให้เรามองว่าหุ้นมีโอกาสปรับระดับมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน CHG ซื้อขายที่ระดับ PEG ปี 2559 ที่ 2 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มการแพทย์ทั่วโลกอยู่ 2 .2 เท่า โดยเรามองปัจจัยบวกหนุนราคาหุ้นในระยะสั้นได้แก่ คาดการณ์กำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ทั้งในไตรมาส 2/59 และ 3/59

พิสูจน์ถึงอัตราการเข้าพักของผู้ป่วยที่สูงแม้ขยายพื้นที่ให้บริการเพิ่ม

CHG พิสูจน์ให้เห็นถึงอัตราการเข้าพักของผู้ป่วยในที่สูงถึง 85% และ71% สำหรับผู้ป่วยนอก ในครึ่งแรกของปี 2559 แม้มีการขยายเตียงผู้ป่วยในและห้องตรวจผู้ป่วยนอกเพิ่มที่เพิ่มเติมในโรงพยาบาล CHG 3 (เริ่มในไตรมาส 1/59) และ CHG 9 (เริ่มในไตรมาส 2/59) ถึง 24% YoY โดยคิดเป็นจำนวนเตียงสำหรับรักษาผู้ป่วยในเพิ่มเติม 55 เตียง และ ห้องตรวจผู้ป่วยนอกอีก 12 ห้อง จาก CHG 3 และจำนวนเตียงสำหรับรักษาผู้ป่วยใน 39 เตียง และห้องตรวจผู้ป่วยนอก 14 ห้อง จาก CHG 9 โดยตัวเลขอัตราการใช้บริการดังกล่าวข้างต้นนั้น ได้รวมถึงโรงพยาบาลจุฬารัตน์ระยองซึ่งเป็นโรงพยาบาลจากการเข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนมี.ค 2559 – ซึ่งเพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยในอีก 50 เตียงและห้องตรวจผู้ป่วยนอกอีก 4 ห้องให้กับ CHG (คิดเป็นกำลังการให้บริการเพิ่มเติม 13% การรองรับผู้ป่วยใน และ 4% การรองรับผู้ป่วยของ CHG) และจำนวนหัวของผู้ป่วยประกันสังคมขึ้นที่ประมาณ 10% (จาก 345,477 ราย ณ สิ้นปี 2558 มาอยู่ที่ 396,310 รายในเดือนพ.ค. 2559) โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการใช้ห้องพักและบริการเต็มอย่างรวดเร็วนั้นเนื่องจากอุปสงค์ของผู้ป่วยประเภทเงินสดที่มีความต้องการใช้บริการสูงมากแต่พื้นที่ให้บริการของ CHG ก่อนหน้านี้มีจำกัด

ข่าวดีลุ้นกำไรทำสถิติสูงสุดในไตรมาส 2/59 และ 3/59

การขยายพื้นที่ให้บริการกอปรกับช่วงฤดูกาลผู้ป่วยมากในไตรมาส 3/59 ทำให้เราคาดการณ์ว่า CHG น่าจะสามารถรายงานรายได้ค่ารักษาพยาบาลและกำไรที่สูงทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่องกันถึงสองไตรมาส ทั้งไตรมาส 2/59 และ 3/59 โดยเราคาดรายได้ค่ารักษาพยาบาลอยู่ที่ 934 ล้านบาทในไตรมาส 2/59 (เพิ่มขึ้น 22% YoY และ 5% QoQ) และในไตรมาส 3/59 อยู่ที่ 992 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 23% YoY และ 6% QoQ) ส่งผลให้เราคาดกำไรหลักจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 160 ล้านบาท ในไตรมาส 2/59 แม้จะอยู่ในช่วงไลว์ซีซั่น (เพิ่มขึ้น 13% YoY และ 2% QoQ) และสูงที่สุดใหม่อีกครี้งที่ 183 ล้านบาท ในไตรมาส 3/59 (เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 51% YoY และ 14% QoQ)


อัตรากำไรเริ่มฟื้นตัว

เราคาดอัตรากำไรสุทธิจะค่อยๆ ฟื้นตัวจาก 17.1% ในปี 2558 มาอยู่ที่ 17.7% ในปี 2559 และเพิ่มขึ้นเป็น 18.3% ในปี 2560 โดยมีสองปัจจัยที่ช่วยบรรเทาค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขยายกิจการ ปัจจัยแรกคือสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยที่เป็นเงินสด (ซึ่งให้อัตรากำไรสูงกว่ากลุ่มอื่น) จะเพิ่มขึ้นจาก 51% ในปี 2558 มาอยู่ที่ 60% ตั้งแต่ไตรมาส 2/59 เป็นต้นไป ปัจจัยที่สองมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการรักษาผู้ป่วยกรณีพิเศษ (โรคร้ายแรง) ที่ใช้สิทธิประกันสังคม โดย CHG จะได้รายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้น 10% ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้บริษัทยังมีโอกาสที่จะมีอัตรากำไรที่ดีกว่าคาด หากทางประกันสังคมอนุมัติค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในตามความรุนแรงของโรคหรือ DRG จากฐาน 10,000 บาท เป็น 11,500 บาท โดยหากมีปรับปรับนโยบายดังกล่าวจริง เรามองว่าจะส่งผลด้านบวกต่อประมาณการกำไรสุทธิของปี 2559 ประมาณ 3%

สถานะทางการเงินแข็งแกร่งมากจากเงินสดส่วนเกิน

งบดุลที่แข็งแกร่ง (เราคงคาดเงินสดสุทธิสิ้นปี 2559) สนับสนุนโยบายเงินปันผลในอัตราที่สูงโดยเรามีสมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงต่อเนื่องที่ 74% สำหรับผลประกอบการปี 2559 หรือคิดเป็นเงินสดปันผล 0.045 บาท/หุ้น โดยจ่ายสามครั้งต่อปี หรือครั้งละ 0.015 บาท ทั้งนี้ด้วยงบดุลที่แข็งแกร่งจะหนุนโอกาสการลงทุนและเข้าซื้อใหม่ในอนาคตเพื่อรักษาแนวโน้มกำไรเติบโตระยะยาว อย่างไรก็ตามเรายังไม่ได้คิดส่วนนี้เข้าไปในการประมาณการของเราและของตลาด