PTTGC - ซื้อ

PTTGC - ซื้อ

แนวโน้มกำไรเติบโต ในขณะที่มูลค่าหุ้นและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์น่าสนใจ

ประเด็นการลงทุน

การเข้าประชุมครั้งล่าสุดยืนยันมุมมองเชิงบวกของเราต่อแนวโน้มการเติบโตของ PTTGC โดยบริษัทน่าจะได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบที่ส่วนใหญ่เป็นอีเทน จะเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบกว่า เราจึงมองกำไรบริษัทมีแนวโน้มเติบโต นอกจากนี้ราคาหุ้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ถูกมาก ซื้อขายอยู่ในระดับ PER ปี 2559 ที่เพียง 7.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 11 เท่าอยู่ 1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 13.9 เท่า ซึ่งคิดเป็นส่วนต่างราคา HDPE ที่เพียง 550 เหรียญสหรัฐต่อตันเทียบกับปัจจุบันที่ 734 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ณ สิ้นปี 2559 ที่ 5.9% นั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 3.2%

ปริมาณขายและส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่เติบโตจะหนุนกำไรไตรมาส 2/59

กำไรหลักไตรมาส 2/59 ของ PTTGC มีแนวโน้มเติบโต QoQ หนุนโดยปริมาณขายโอเลฟินส์ที่เติบโต (กลับมาดำเนินการผลิตเต็มกำลัง) และส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจัยหนุนราคาและส่วนต่างราคาปิโตรเคมีในไตรมาส 2/59 จะมาจากอุปทานที่ตึงตัวในฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงแม้จะอยู่ในช่วงโลว์ซีซั่นก็ตาม ส่วนต่างราคา HDPE เทียบกับแนฟทาคาดเพิ่มขึ้น 1% QoQ มาอยู่ที่ 769 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในขณะที่ส่วนต่างราคา PX เทียบกับแนฟทาคาดเพิ่มขึ้น 1% QoQ มาอยู่ที่ 410 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาส 2/59 เรามองส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ดีขึ้นน่าจะชดเชยกำไรของธุรกิจโรงกลั่นที่อ่อนตัวลงในไตรมาส 2/59 ได้ อย่างไรก็ตามกำไรหลักไตรมาส 2/59 คาดอ่อนตัวลง YoY จากอัตราการใช้กำลังการกลั่นที่ลดลง (จากการหยุดซ่อมบำรุง) และค่าการกลั่นตลาดที่ปรับลดลง

ธุรกิจปิโตรเคมีจะหนุนกำไรครึ่งหลังปี 2559

ธุรกิจปิโตรเคมีไม่เพียงแต่จะเป็นปัจจัยหลักหนุนกำไรไตรมาส 2/59 แต่จะเป็นตัวขับเคลื่อนกำไร PTTGC ให้เติบโต HoH ในครึ่งหลังของปี 2559 โดยส่วนต่างราคา HDPE ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง กอปรกับปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันกำไรของธุรกิจโอเลฟินส์ให้แข็งแกร่งในครึ่งหลังปี 2559 ส่วนต่างราคา HDPE คาดทรงตัวอยู่ที่ 740 เหรียญต่อตันในครึ่งหลังของปี 2559 ใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปี 2559 หนุนโดยอุปสงค์ที่แข็งแกร่งท่ามกลางอุปทานที่ตึงตัว เราคาดอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์จะแตะ 100% ในครึ่งหลังของปี 2559 จาก 89% ในครึ่งแรกของปี ส่วนปัจจัยหลักที่จะหนุนธุรกิจอะโรเมติกส์ ได้แก่ ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ของส่วนต่อขยายโรงงานอะโรเมติกส์ II ในเดือน พ.ค. (เพิ่มกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ขึ้น 1.7 แสนตันต่อปี) อย่างไรก็ตามส่วนต่างราคา PX คาดอ่อนตัวลงในครึ่งหลังของปี 2559 จากกำลังผลิตใหม่ที่เริ่มดำเนินการผลิต


การลงทุนใหม่หนุนการเติบโตระยะยาว

นอกจากโครงการขยายกำลังการผลิตต่างๆที่ดำเนินการไปตามแผน PTTGC ยังคงเดินหน้าเพื่อการเติบโตระยะยาวต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทจะลงทุนในโครงการ Map Ta Phut retrofit 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (โรงแครกเกอร์แนฟทาแห่งใหม่ กำลังการผลิตเอธิลีน 5 แสนตันต่อปีและโพรพิลีน 2.5 แสนตันต่อปี จะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2563) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากไลท์แนฟทาจำนวน 1.5 ล้านตันต่อปีที่ขายให้ลูกค้าภายนอก ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยปิดความเสี่ยงต่อต้นทุนเอธิลีนที่ผันผวนและอุปทานในอนาคต ในกรณีที่เป็นไปได้ที่สุด (อุปทานอีเทนจากอ่าวไทยหมดลงและได้รับอุปทานอีเทนเพิ่มขึ้นจากการนำเข้า LNG) ปริมาณการผลิตโอเลฟินส์จะเติบโตขึ้น 2.5 แสนตันต่อปี นอกจากนี้บริษัทมีความคืบหน้าด้านโรงแครกเกอร์อีเทนในประเทศสหรัฐฯ โดยบริษัทจะตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนภายในสิ้นปีนี้และหากตัดสินใจลงทุนจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2564 ซึ่งเรามองว่าจะเป็นช่วงที่กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์อยู่ในช่วงขาขึ้น