คืบหน้า! เอาผิดโทษหนักแน่ 6โจ๋ก๊วนลูกตร.รุมฆ่าชายพิการ

คืบหน้า! เอาผิดโทษหนักแน่ 6โจ๋ก๊วนลูกตร.รุมฆ่าชายพิการ

คืบหน้า! "น.1" ตรวจสำนวน6โจ๋รุมฆ่าชายขาพิการ-เอาผิดได้แน่ รุดเยี่ยมญาติคนตายถูกขู่ขวัญผวา จี้ฟันเพื่อนหญิงถ้าพูดยุ "เอามันให้ตาย"

จากกรณี วัยรุ่นชายจำนวน 6 คน ก่อเหตุใช้อาวุธมีดรุมทำร้ายร่างกาย นายสมเกียรติ ศรีจันทร์ อายุ 36 ปี ชายขาพิการ อาชีพส่งขนมปังจนเสียชีวิต หน้าร้านขายขนมปัง ซอยโชคชัย 4 แยก 69 เหตุเกิดเมื่อวันที่1 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ล่าสุด เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 4 พฤษภาคม ที่สน.โชคชัย พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. เดินทางมาตรวจสอบสำนวนคดี โดยมี พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ผบก.น.4 พ.ต.อ.ชัยรพ จุณณวัตต์ ผกก.สน.โชคชัย ร่วมประชุมตรวจสอบสำนวนคดีดังกล่าวด้วย

ก่อนที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ จะเปิดเผยว่า วันนี้(4 พ.ค.) เดินมาตรวจสอบคดีด้วยตัวเอง เพราะอยากให้ทุกคนมั่นใจว่าคนผิดต้องติดคุก แต่ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้จากการตรวจสอบสำนวนพบว่าพยานหลักฐานสมบูรณ์สามารถเอาผิดได้ ในส่วนที่ญาตินายสมเกียรติ ระบุจะแจ้งความผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์ในข้อหายุยง ส่งเสริม ตามมาตรา83 นั้น จะได้รับโทษ 2ใน 3 เท่านั้น แต่หากตนสามารถพิสูจน์ได้ว่า หญิงคนดังกล่าวอยู่ในเหตุการณ์และมีการตะโกนบอก “เอาเลยๆ เอามันให้ตาย” ตามที่มีการกล่าวอ้าง ตนจะถือว่ามีความผิดเทียบเท่าตัวการร่วม ซึ่งจะต้องรับโทษเทียบเท่าตัวการ คือรับโทษเต็ม

พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการแจ้งข้อหาทั้ง 6 คนนั้น พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ,บุกรุก และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามป.อาญา ม.288 แล้ว ซึ่งกรณีที่ญาติและทนายประสงค์อยากให้แจ้งเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น จะต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า การที่ไปนำมีดมานั้น ต้องการนำมาเพียงเพื่อป้องกันตนเอง หรือมีเจตนาจะนำมาฆ่านายสมเกียรติจริงๆ ซึ่งหากเป็นกรณีหลังจะเปลี่ยนเป็นความผิดตามป.อาญา ม.289 ซึ่งมีโทษที่สูงกว่า ส่วนที่ผู้ต้องหาอ้างว่ากระทำการไปเพื่อป้องกันตัวเองนั้น ก็ต้องพิสูจน์กันว่าการป้องกันดังกล่าวเกินกว่าเหตุหรือไม่ต่อไป

พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจหาสารเสพติดผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ผลยืนยันไม่พบสารเสพติด หลายคนอาจจะเห็นใจหลายๆฝ่าย ซึ่งตนก็มีความเห็นใจครอบครัวทั้งสองฝ่าย แต่การเห็นใจดังกล่าวจะไม่นำไปสู่การช่วยเหลือในทางที่ผิดแน่นอน ใครผิดก็ต้องว่ากันไปตามนั้น ในส่วนของตำรวจซึ่งเป็นผู้ปกครองของกลุ่มผู้ต้องหานั้น แท้จริงตนก็อยากนำมาให้ผู้สื่อข่าวซักถาม หรือตอบข้อสงสัยในบางประเด็น แต่สิ่งที่อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า พ่อแม่ที่เป็นตำรวจไม่ได้ทำอะไรผิด และสอนลูกมาดีแล้ว แต่ลูกทำเช่นนี้ก็ช้ำใจอยู่แล้ว ซึ่งลูกตำรวจมีเป็นแสนเป็นล้าน ที่ได้ดีก็มีอีกเยอะ ตนจึงไม่อยากให้ตั้งเป้าในประเด็นดังกล่าว แต่หากลูกตำรวจคนไหนทำผิดก็ไม่ละเว้น หากลูกตนทำผิดตนก็จับ

อย่างไรก็ตาม หากทางญาติผู้เสียชีวิต มีอะไรที่ยังค้างคา หรือติดใจ หรือสงสัยในประเด็นไหน หรือมีสิ่งใดที่ตำรวจกระทำไปแล้วไม่ถูกใจ ตนน้อมรับผิดในฐานะผู้บังคับบัญชา และขอให้เข้ามาติดต่อส่วนตัวกับตนได้เลย พร้อมรับฟัง เปิดใจ และพร้อมตอบคำถามทุกกรณี

ด้าน พ.ต.อ.ชัยรพ กล่าวว่า ขณะนี้สอบปากคำไปแล้ว 13 ปาก และฝากขังกลุ่มผู้ต้องหาไปแล้ว ในส่วนของหญิงสาวที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น พบว่ามี 2 คน และเป็นเยาวชนทั้งคู่ คือ น.ส.ขวัญ และ น.ส.กระแต ซึ่งหลังเกิดเหตุได้นำตัว น.ส.ขวัญ มาสอบปากคำแล้ว แต่ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องคลิปเสียงที่ระบุว่ายุยง ส่งเสริม ให้ทำผิดดังกล่าว ทั้งนี้จะนำตัว น.ส.กระแต มาสอบปากคำ เพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีญาติติดใจว่าขณะเกิดเหตุมีตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุ แต่ไม่ได้ช่วยระงับเหตุเท่าที่ควรจะเป็น และยังปล่อยผู้ก่อเหตุบางรายไปนั้น พ.ต.อ.ชัยรพ ตอบว่า ตรวจสอบแล้วพบว่าวันเกิดเหตุนั้น สายตรวจรับแจ้งว่ามีการทำร้ายร่างกาย ตำรวจจึงพยายามวิ่งไปที่เกิดเหตุ เพื่อระงับเหตุดังกล่าว โดยระบุว่าตำรวจสันติบาลเข้าไปช่วยระงับเหตุด้วย แต่กลับไม่มีใครฟัง จากการตรวจสอบคลิปจึงสอบถามไปยังตำรวจพบว่าพยายามหยุดเหตุดังกล่าวให้สงบ และหาว่าใครที่ถือมีด หรือใครที่กำลังฟันใคร ต้องเข้าไปหยุดเหตุ ส่วนผู้ก่อเหตุที่ถูกปล่อยตัวไปนั้น แท้จริงไม่ได้ปล่อย แต่ให้ไปโรงพยาบาล เพราะที่เห็นคือถูกฟันจนแขนเกือบขาด และมีตำรวจสันติบาลเข้าไปช่วยเหตุดังกล่าวก่อนแล้ว

ขณะที่ พ.ต.ท.เศรษฐภัทร เรืองวานิช สว.บก.ส.2 เปิดเผยว่า กรณีเหตุกลุ่มวัยรุ่น 6 คนก่อเหตุรุมทำร้ายนายสมเกียรติ ชายขาพิการอาชีพส่งขนมปังจนเสียชีวิตนั้น จากคลิปที่มีการเผยแพร่ออกไปตามสื่อโซเชี่ยลต่างๆ ตนยอมรับว่าเป็นเสียงตนจริง ซึ่งในวันที่เกิดเหตุตนและเพื่อนอีก 2 คน ผ่านไปบริเวณแถวนั้นพอดี และได้มีประชาชนโบกมือเรียกตนบอกว่า บริเวณแยกด้านหน้ามีคนทะเลาะกัน จนจึงได้ขับรถมายังที่เกิดเหตุ เมื่อมาถึงด้วยความที่ชุลมุนจึงไม่ทราบว่าใครเป็นใคร กระทั่งมีวัยรุ่นสองคนเดินมาบริเวณหน้ารถตนพร้อมหยิบมีด ตนจึงได้ชักปืนออกมาพร้อมบอกว่าให้นายพีรพล (ทราบชื่อภายหลัง เป็นคนที่โดนฟันแขน) ว่า ให้เอามีดลง แต่นายพรีพล ยังคงไม่สน กระทั่งตนบอกว่าหากไม่ว่ามีดลงจะยิง จากนั้น นายพรีพล จึงยอมวางมีดลง ระหว่างที่วางมีดเลือดบริเวณที่โดนฟันพุ่งออกมากระจายเต็มหน้ารถของตน คาดว่าน่าจะโดนฟันตรงเส้นเลือดใหญ่

พ.ต.ท.เศรษฐภัทร กล่าวอีกว่า จากนั้น เพื่อนผู้ต้องหาได้บอกกับตนว่าขอพาเพื่อนไปโรงพยาบาล ซึ่งตนเห็นว่าหากไม่ไปในทันที นายพรีพลอาจเสียชีวิตได้ จึงได้ปล่อยให้ไปโรงพยาบาลพร้อมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจดทะเบียนรถและวิทยุประสาน สน.โชคชัยให้ตามไปยังโรงพยาบาลเพื่อทำการควบคุมตัว

เมื่อถามว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงไม่ควบคุมตัว ไม่กลัวผู้ต้องหาหนีหรือ พ.ต.ท.เศรษฐภัทร อธิบายว่า ขณะนั้นตนต้องทำการระงับเหตุดังกล่าวให้ได้ก่อน เนื่องยังมีอีก 5-6 คนที่พยายามจะเข้าไปรุมทำร้ายนายสมเกียรติ และตนเชื่อว่าผู้ต้องหาไม่หลบหนี เพราะบาดแผลสาหัส อย่างไรก็ต้องนำตังไปรักษาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ซึ่งคลินิกทั่วไปไม่รับทำบาดแผลดังกล่าวอยู่แล้ว ทั้งนี้ตนยืนยันปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนครบถ้วน เมื่อระงับเหตุได้ตนได้นำผู้ต้องหาทั้งหมดรวมทั้งหญิงสาวที่เป็นแฟนของคนในกลุ่มนั้นนั่งรวมกันที่พื้น จากนั้นก็ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โชคชัย เป็นผู้ดำเนินการ ก่อนที่ตนและเพื่อนจะกลับได้มีการสอบถามไปทางสน.อีกครั้งว่า ได้มีการนำกำลังคนตามผู้ต้องหาทั้งสองไปโรงพยาบาลหรือไม่ ต้องยืนยันอีกครั้งว่าตนไม่ได้มีเจตนาจะปล่อยผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ หรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ แต่ตนได้ใช้ดุลพินิจแล้วว่า หากไม่ไปโรงพยาบาลทันทีอาจทำให้เสียชีวิตได้ อีกทั้งตนต้องทำหน้าที่ระงับเหตุให้ได้โดยเร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังตรวจสำนวนคดีเสร็จ พล.ต.ท.ศานิตย์ พร้อม พล.ต.ต.นันทชาติ และ พ.ต.อ.ชัยรพ ได้เดินทางไปยังร้านขายขนมปัง ซอยโชคชัย 4 แยก 69 เพื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุและพบญาติของนายสมเกียรติ ก่อนจะพูดคุยให้กำลังใจ และขอให้มั่นใจในเรื่องคดีกับนางธันยชนก ศรีจันทร์ พี่สาวของนายสมเกียรติ และน.ส.ภัสธิร์ญา ภัคสิรีธร หลานสาวของนายสมเกียรติ

นางธัญชนก กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีความกังวล เนื่องจากในวันเกิดเหตุ น.ส.ภัสธิร์ญา ลูกสาวตนอยู่ในเหตุการณ์ ระบุว่า วันเกิดเหตุมีผู้หญิงซึ่งเป็นแฟนของผู้ก่อเหตุมาขู่ว่า “ถ้าผัวกูเป็นอะไร เอาพวกเมิงแน่” ทำให้ทางครอบครัวกังวลจนไม่กล้ามาพักอาศัยที่ร้าน ขณะนี้ร้านก็ปิด ไม่กล้าเปิดร้าน นอกจากนี้คนในละแวกใกล้เคียงยังได้เล่าให้ฟังว่า พบเห็นคนต้องสงสัยมาขับรถวนเวียนผ่านหน้าร้านหลายครั้ง ตนจึงอยากขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบและดูแล โดยยืนยันว่านายสมเกียรติ ไม่เคยเล่าว่าทะเลาะกับกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว และตนก็ไม่ได้รู้จักกับกลุ่มดังกล่าวเช่นกัน พอทราบว่าเป็นลูกตำรวจ ตนไม่สบายใจมาก แต่ขณะนี้ยอมรับว่าสบายใจขึ้นแล้วที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ เข้ามาดูแลด้วยตนเอง ทั้งนี้จะฌาปนกิจศพนายสมเกียรติในวันที่ 5 พฤษภาคม

เกี่ยวกับกรณีการข่มขู่ พล.ต.ท.ศานิตย์ บอกว่า หากได้รับการยืนยันจากญาติเรื่องการข่มขู่นี้ ตนจะขอพิสูจน์ทราบตัวบุคคล ถ้าพบว่ามีการข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัวดังที่เล่าจริง บุคคลนั้นจะต้องถูกแจ้งข้อหาข่มขู่ผู้อื่นทำให้เกิดความหวาดกลัว