จับแท็กซี่เถื่อนโขกค่าโดยสาร 1,200 บาท

จับแท็กซี่เถื่อนโขกค่าโดยสาร 1,200 บาท

จับแท็กซี่เถื่อนโขกค่าโดยสาร 1,200 บาท จากราคาปกติแค่ 100 บาทe

พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.ทท. , พ.ต.อ.จักรเพชร เพชรพลอยนิล ผกก.1 บก.ทท.,พ.ต.ท.อภิเษก ปิศโน สว.ส.ทท.4 กก.1 บก.ทท(ดอนเมือง),เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม และเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายวัชระ ทาน้อย อายุ 31 ปี พร้อมของกลางเป็นรถแท็กซี่สีแดง ในข้อหาใช้รถที่จดทะเบียนแล้ว แต่มิได้เสียภาษีประจำปี ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522    

พ.ต.อ.นิธิธร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา ตำรวจท่องเที่ยวดอนเมือง ได้รับการประสานมาจากกองตรวจการขนส่งทางบกว่า มีแท็กซี่ไม่มีมิตเตอร์เก็บค่าโดยสารแพงเกินจริง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเมื่อเวลา 09.00น. วันที่ 18 เมษายน ที่ผ่านมา นางสาวบี(นามสมมุติ)สัญชาติไทย เป็นแอร์โฮสเตสสายบินต่างประเทศ ได้เรียกใช้บริการแท็กซี่สีส้ม ให้ไปส่งยังกงสุล ถ.แจ้งวัฒนะ ระหว่างที่ขึ้นรถไปแล้วนั้น สังเกตุเห็นว่าภายในรถไม่มีมิเตอร์ และทะเบียนรถ พร้อมประวัติคนขับรถ ซึ่งจะติดไว้ที่บริเวณด้านหน้ารถและข้างประตูด้านหลัง 

จากการสอบถามผู้เสียหาย ทราบว่า คนขับรถแท็กซี่คันดังกล่าว เป็นชายลักษณะผอม ผิวคล้ำ สูงประมาณ165 เซนติเมตร ผมสั้นสกินเฮด หน้าแหลม ซึ่งคนขับได้พูดว่า รถไม่มีมิเตอร์แต่คิดราคาตามปกติ พอไปถึงที่หมายคนขับได้เขียนใบเสร็จ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ และระบุชื่อนายประสิทธิ์ ลีทอง พร้อมกับเรียกค่าบริการเป็นเงิน 1,200 บาท และยังได้ขอเบอร์โทรศัพท์ของนางสาวบี เอาไว้ด้วย โดยบอกว่าหากต้องการเรียกใช้ในภายหลังจะได้สะดวก แต่นางสาวบี ได้ปฏิเสธที่จะให้เบอร์โทรศัพท์ ก่อนจะรีบจ่ายเงินและลงไปทำธุระ ขณะนี้นางสาวบี กำลังอยู่ในระหว่างการทำงานบนเครื่องบินไปต่างประเทศ จึงให้น้องสาวเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนแทน ตำรวจท่องเที่ยวจึงได้ตรวจสอบ จนพบว่าชื่อที่เขียนบนใบเสร็จนั้น เป็นชื่อที่ไม่มีตัวตน เมื่อตรวจสอบตามเบอร์โทรศัพท์ที่ให้มา พบว่าชื่อที่ลงทะเบียนไว้คือนายวัชระ ทาน้อย 

จากนั้นได้ส่งภาพไปให้นางสาวบี เพื่อยืนยันตัว ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันที่ก่อเหตุ ตำรวจจึงนำภาพผู้ต้องหาไปให้กับเจ้าหน้าที่สนาบินตรวจสอบผู้ต้องสงสัย จนกระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน นายวัชระ ได้ขับรถคันก่อเหตุเข้ามาทำทีรับผู้โดยสารที่สนาบิน แต่เจ้าหน้าที่สนามบินจำรถได้ ว่าเป็นรถที่ต้องสงสัย จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้าจับกุม แต่นายวัชระ เกิดไหวตัวทันได้เปิดประตูรถแล้ววิ่งหนีไปได้ ซึ่งต่อมานายวัชระ ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวในภายหลัง จากการตรวจสอบประวัตินายวัชระ พบว่ามีหมายจับอยู่ที่ สน.อุดมสุข ในข้อหายักยอกทรัพย์ด้วย นอกจากนี้ยังตรวจสอบไปยังกรมการขนส่งทางบกพบว่ารถแท็กซี่คันดังกล่าว ทะเบียน ทพ 7739 กทม. ทะเบียนถูกยกเลิกไปแล้ว     

พ.ต.อ.นิธิธร กล่าวด้วยว่า ทางผู้เสียหายนั้นเป็นคนไทยก็จริง แต่ไม่ได้อยู้ประเทศไทยนานมาก ทำให้ไม่เข้าใจมาตราการต่างๆ ในการให้บริการของแท็กซี่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวได้มีการปราบปรามแท็กซี่ที่กระทำความผิดในลักษณะนี้อยู่ตลอด ซึ่งกรณีนี้เป็นการเรียกแท็กซี่นอกจุดบริการแท็กซี่ ดังนั้น จึงอยากเตือนประชาชนทั่วไปให้เรียกแท็กซี่ที่จุดบริการแท็กซี่ของสนามบิน จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ ผู้ต้องหาสารภาพว่าพึ่งเคยทำเป็นครั้งแรกแต่ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะผู้ต้องหามีพฤติการณ์จะก่อเหตุซ้ำ หลังจากนี้จะมีมาตรการในการดูแลเรื่องแท็กซี่ให้เข้มข้นมากขึ้น ซึ่งต้องมาดูว่ามาตรการใดที่จะสามารถนำมาใช้ไม่ให้แท็กซี่ก่อเหตุได้อีก ขณะนี้ยังมีแท็กซี่หลายสียังให้บริการผิดประเภทกันอยู่ ในอนาคตจะต้องมีการดูแลในส่วนนี้ด้วย

นายวัชระ ให้การว่า ตนได้ก่อเหตุดังกล่าวจริง โดยผู้โดยสารเรียกให้ไปส่งที่กงสุล ถ.แจ้งวัฒนะ ตนก็ได้มีการตกลงราคาอยู่ที่ 1,200 บาท ผู้โดยสารเองก็ตกลง จึงได้ไปส่งที่หมายตามที่ได้ตกลงกับไว้ ซึ่งภายในรถตนนั้นมีมิเตอร์และมีชื่อคนขับอยู่ตามปกติ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ปกติราคาจากสนามบินดอนเมืองไปกงสุลค่าบริการเท่าไร ทำไม่เรียกค่าบริการในราคาสูง นายวัชระกล่าวว่า ราคากว่า 100 บาท ตนขอโทษที่มีการเรียกค่าโดยสารเกินจริง    

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับจำนวน 2,000บาท ก่อนจะส่งตัวนายวัชระ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.อุดมสุข เพื่อดำเนินคดีในหมายจับข้อหายักยอกทรัพย์ต่อไป