ออสเตรียผ่านกฎหมายคุมเข้มผู้อพยพ

ออสเตรียผ่านกฎหมายคุมเข้มผู้อพยพ

รัฐบาลออสเตรียไฟเขียวกฎหมายคุมเข้มผู้อพยพ เปิดทางให้รัฐสามารถประกาศภาวะฉุกเฉิน และปฏิเสธรับผู้อพยพตรงชายแดน กรณีจำนวนผู้อพยพเพิ่มขึ้นรวดเร็ว

รัฐบาลออสเตรียเห็นชอบกฎหมายลี้ภัยที่เข้มงวดที่สุดฉบับหนึ่งของยุโรป ในช่วงที่ผู้นำออสเตรียพยายามลดกระแสความนิยมของฝ่ายขวาจัด ที่มีคะแนนนำในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกเมื่อวันที่ 24 เมษายน

ร่างกฎหมายที่เป็นประเด็นให้เกิดการอภิปรายกันอย่างร้อนแรงฉบับนี้ ผ่านความเห็นชอบจากสภาออสเตรียเมื่อวันพุธ (27 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยคะแนนเสียง 98 ต่อ 67 เสียง เปิดทางให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินได้ หากจำนวนผู้อพยพพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อนุญาตให้ทางการออสเตรียปฏิเสธผู้แสวงหาที่พักพิงได้โดยตรงที่ชายแดน รวมถึงผู้อพยพจากซีเรีย

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่บริเวณชายแดนสามารถอนุญาตให้เข้าประเทศออสเตรียได้ เฉพาะผู้ลี้ภัยที่มีอันตรายระหว่างการเดินทางต่อในประเทศเพื่อนบ้านออสเตรีย และผู้ที่มีญาติอยู่ในออสเตรียแล้วเท่านั้น แต่ผู้เยาว์และสตรีมีครรภ์จะได้รับการยกเว้น รวมทั้งยังกำหนดให้ผู้อพยพจะต้องขออนุญาตแสวงหาที่พักพิงได้ที่ศูนย์ลงทะเบียนบริเวณชายแดนที่ยังไม่ได้สร้าง ซึ่งพวกเขาอาจถูกกักตัวไว้ถึง 120 ชั่วโมงขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบคำขอ

ระเบียบอันเข้มงวดดังกล่าวคล้ายคลึงกับที่รัฐบาลฝ่ายขวาของเพื่อนบ้านฮังการีประกาศใช้เมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้บรรดาพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างพากันประณามกฎหมายใหม่ของออสเตรียด้านสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาติเตือนว่า กฎหมายฉบับนี้ขจัดหัวใจสำคัญของการคุ้มครองผู้ลี้ภัยออกไป

ขณะที่รัฐมนตรีมหาดไทยของออสเตรีย “นายโวลฟ์กัง โซโบตกา” ชี้แจงว่า ออสเตรียไม่มีทางเลือกอื่น ตราบเท่าที่สมาชิกสหภาพยุโรปหรืออียูรายอื่น ๆ ไม่สามารถหยุดยั้งการไหลทะลักของผู้อพยพได้ ออสเตรียจึงไม่สามารถแบกรับภาระของโลกไว้ได้ทั้งหมด

ทั้งนี้ การที่ออสเตรียเป็นปากทางของเส้นทางอพยพสำคัญในการเข้าสู่ยุโรปสองเส้นทางคือคาบสมุทรบอลข่านและอิตาลี ทำให้ในปี 2558 ที่ผ่านมา มีผู้ยื่นขอแสวงหาที่พักพิงในออสเตรียแล้วถึง 90,000 ราย มากที่สุดเป็นอันดับสองของอียูหากคิดตามจำนวนประชากร

เมื่อวันอังคาร (26 เม.ย.) รัฐบาลออสเตรียได้เสนอโครงการแก้ไขวิกฤตผู้อพยพต่ออียู โดยจะใช้งบประมาณ 2,260 ล้านดอลลาร์แก้ไขวิกฤตที่กำลังดำเนินอยู่ ในจำนวนนี้เงินส่วนใหญ่จำนวน 1,600 ล้านดอลลาร์ เป็นค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม