คมคิด 'โอฬาร ตั้งวงศ์กิจ'พิชิตธุรกิจ 'พันล้าน' ใน 6 ปี!

คมคิด 'โอฬาร ตั้งวงศ์กิจ'พิชิตธุรกิจ 'พันล้าน' ใน 6 ปี!

ไม่กี่ปีก่อนเขาคือเด็กหนุ่มอายุน้อยร้อยล้านผู้ปลุกปั้น“บ้านไทยโฮม”จนร้อนแรงไปทั้งตลาด วันนี้ธุรกิจจากสองมือกำลังทะยานสู่หลักพันล้านบาทแล้ว!

“ปีนี้เราตั้งเป้ารายได้กลมๆ ไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท เป็นปีแรกที่ธุรกิจจะเข้าสู่หลักพันล้าน!”

“โอ-โอฬาร ตั้งวงศ์กิจ” กรรมการผู้จัดการ วัย 34 ปี บริษัท บ้านไทยโฮม จำกัด อัพเดทธุรกิจของเขาในปีที่ 6 ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

ประมาณ 2 ปีก่อน เขามีชื่อเสียงขึ้นมา จากการเป็นเจ้าของธุรกิจอายุน้อยร้อยล้าน ผู้ปลุกปั้นกิจการบ้านน็อคดาวน์โครงสร้างเหล็ก ในชื่อ “บ้านไทยโฮม” ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2554 จนประสบความสำเร็จ

“5-6 ปี ก่อน บ้านโครงสร้างเหล็กยังมีคนทำน้อยมาก ผมได้ไอเดียนี้มาจากต่างประเทศ ส่วนตัวก็มีความรู้ทางวิศวะมา (จบวิศวกรรมวัสดุ ม.ศิลปากร) บวกกับก่อนหน้านี้เคยทำสื่อสิ่งพิมพ์โฆษณา และธุรกิจการ์เมนท์มาก่อน ซึ่งทั้งสองตัวทำใน E-commerce ทำให้มีพื้นฐานการใช้อินเตอร์เน็ต และการตลาดออนไลน์ เลยมาใช้กับธุรกิจนี้”

ผลคือ แค่เดือนแรก ก็สามารถขายบ้านได้ 10 หลัง! จากลูกค้ารายเดียว หลังเจ้าของรีสอร์ทที่สวนผึ้ง ตัดสินใจใช้บริการบ้านโครงสร้างเหล็กของเขา ด้วยเหตุผล เร็ว ถูก และดี แถมยังเป็นวิศวกรเหมือนกันเสียด้วย

หลังจากนั้นธุรกิจเล็กๆ ก็ได้รับการตอบรับมากขึ้นเรื่อยๆ ขยับจากธุรกิจหลักสิบขึ้นเป็นหลักร้อยล้าน ในเวลาเพียงไม่นาน มีกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้ง ลูกค้าทั่วไป (B2C) และลูกค้าโครงการ (B2B) ขายบ้านต่อปีก็ไม่ต่ำกว่า 300 หลัง ปี 57 กลายเป็นธุรกิจเนื้อหอม ได้ออกสื่อมากมาย ข้อดีคือมีคนรู้จัก แต่ที่ไม่ดีเอามากๆ คือเกิด “คู่แข่ง” ขึ้นมหาศาล

“จากเดิมธุรกิจนี้มีคนทำอยู่ไม่เกิน 10 เจ้า พอปี 57-58 กลายเป็นว่ามีอยู่ร่วม 100 เจ้า เดิมเราทำบ้านโครงสร้างเหล็กธรรมดา เทคโนโลยี แล้วก็ความคิดอะไรเลยยังลอกเลียนกันง่าย จากธุรกิจที่เป็น Blue Ocean การแข่งขันน้อย เลยกลายเป็น Red Ocean มีคู่แข่งเข้ามาตัดราคาจำนวนมาก เลยต้องปรับตัว” เขาบอก

การปรับตัวรับมือสนามร้อน คือมุ่งเรื่อง “นวัตกรรม” ให้เข้มข้นขึ้น และต้องเป็นนวัตกรรมที่คนไทยจะ “ตามไม่ทัน” ก๊อบปี้ได้ยากด้วย แต่ถ้าจะให้ไปนั่งวิจัยเองก็คงไม่ทันกิน เลยใช้วิธีให้อาจารย์มหาวิทยาลัยช่วยวิจัยให้ และใช้ทางลัดจับมือเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ระดับโลก ใช้นวัตกรรมจากนอกมาสร้างแต้มต่อให้ธุรกิจ

อย่างการจับมือ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้นวัตกรรมจากเยอรมันมาเพิ่มประโยชน์ใช้สอยของเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ภายในบ้าน ร่วมกับ บริษัทอาควาไลน์ โปรทาร์เก็ต จำกัด นำนวัตกรรมโครงสร้างอาคารที่คำนวณด้วยโปรแกรมที่พัฒนาเฉพาะของ LINDAB ประเทศสวีเดน มาสร้างความแตกต่าง ลอกเลียนแบบไม่ได้ให้กับบ้านของพวกเขา และพันธมิตร บมจ. สหโมเสคอุตสาหกรรม นำกระเบื้องที่ผลิตด้วยนวัตกรรม Full HD มาเติมเต็มความสวยงามให้กับบ้าน

การไม่เลือกเดินเดี่ยว เพิ่มโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศ เขาบอกว่าในอนาคตจะไปบุกเออีซีให้มากขึ้น จากเดิมไปชิมลางที่พม่ามาแล้ว และกำลังศึกษาตลาดกัมพูชา ซึ่งการไปเออีซีในครั้งนี้จะยกแพคไปพร้อมกับพาร์ทเนอร์

ระหว่างทางของการสร้างจุดแข็งด้านนวัตกรรม และเติมเต็มความแข็งแกร่งของธุรกิจด้วยพันธมิตร พวกเขาก็ขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ๆ อย่างการเปิดตัวบ้าน Precast (บ้านผนังสำเร็จรูป) ที่แข็งแรงกว่าบ้านปูนทั่วไป โดยสามารถรับแผ่นดินไหวได้ถึง 8.5 ริกเตอร์ มีความยาวถึง 12 เมตร ทำให้ลดปัญหาเรื่องรอยต่อ เกิดเป็นจุดขาย ทำได้เร็วกว่าบ้านปูน แข็งแรง และประหยัดต้นทุนได้มากกว่า สนองตอบลูกค้าโครงการ ที่มีทั้ง ทาวเฮ้าส์ ทาวน์โฮม หอพัก และบ้านเดี่ยว

เวลาเดียวกันคือหาช่องว่างในตลาดใหม่ๆ ในปีนี้เราเลยได้เห็นบ้านไทยโฮม เปิดตัวบ้านเฉพาะกลุ่ม อย่าง บ้านสำหรับผู้สูงอายุ และบ้านสำหรับเด็กแรกเกิด มาสร้างสีสันในตลาด อีกช่องว่างที่เจาะพบ คือกลุ่มปรับปรุงต่อเติมบ้าน เขาว่า ยังไม่มีบริษัทไหนที่เชี่ยวชาญด้านการรับเหมาต่อเติมโดยเฉพาะ และนั่นคือ “โอกาส” ของพวกเขา

ปีนี้อีกเช่นกันที่ธุรกิจจะเริ่มขายแฟรนไชส์เป็นครั้งแรก ด้วยระบบที่เรียก “ฟรีแฟรนไชส์” ง่ายๆ ทุกอย่างฟรีหมด ขอแค่มีอาคารพาณิชย์ไว้ตั้งสำนักงาน ฟอร์มทีมงานเอง ที่เหลือพวกเขาจัดการให้ โดยการแบ่งรายได้ จะมีทั้ง ขายบ้านอย่างเดียว ก็จะได้มาร์จิ้นระดับหนึ่ง แต่ถ้า ขายและรับสร้างบ้านเองด้วย ก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น

“ในน่านน้ำนี้ยังมีอะไรให้เล่นอีกเยอะมาก ตลาดนี้มูลค่ามหาศาล และอนาคตยังไปได้อีกเยอะ” เขาบอก

หนึ่งคำยืนยัน คือการที่ปีลิง จะเป็นปีแรกที่พวกเขาเปลี่ยนผลิตภัณฑ์หลัก ไม่ใช่บริษัทรับสร้างบ้าน รับเหมาต่อเติมบ้าน แต่จะขยับสู่การเป็น “ดีเวลลอปเปอร์” เต็มตัว โดยการร่วมทุนกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ และเตรียมเปิดตัวโครงการแรก บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ภายในครึ่งปีแรกนี้

  “เราไปดูที่ไว้แล้วแถวอยุธยา ละแวกนั้นมีโครงการทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ขายอยู่ที่ 1.7-1.8 ล้านบาท แต่เราจะทำบ้านแฝด ขายที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท จะทำบ้านที่ให้พื้นที่มากกว่า แต่ขายถูกกว่าเขา” เขาบอกตรงๆ ถึงการบุกตลาดด้วยความได้เปรียบด้าน “ราคา” จากการมีนวัตกรรมของตัวเอง ที่ทำให้ต้นทุนหายไปเกือบครึ่ง สร้างแต้มต่อในสนามนี้

ทำไมต้องมาเป็นดีเวลลอปเปอร์ โอฬารบอกว่า เพราะตั้งใจชัดเจนตั้งแต่ปี 2557 ว่าอยากเอาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ถ้าจะเอาตัวเองเข้าตลาด ทั้งๆ ที่ ทำแค่ธุรกิจรับสร้างบ้าน กับรับงานโครงการก๊อกแก๊กๆ ก็กลัวว่านักลงทุนจะไม่สนใจเท่าไร เพราะมูลค่าดูไม่มั่นคง และจะมีผลต่อราคาหุ้น

“ผมตั้งเป้าเข้าตลาดใน 3 ปี ข้างหน้า เหมือนเป็นความฝัน ว่าเด็กคนหนึ่งทำธุรกิจด้วยตัวเอง และอยากจะดันธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นมหาชน ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องรอถึงพันล้านก็เข้าตลาดฯ ได้ แต่ถ้าเข้าไปแล้ว ราคาหุ้นไม่ดี ผมก็ไม่อยากเข้า” เขาบอกเหตุผลที่เลือกมาปรับเกมรบ และสร้างมูลค่าธุรกิจให้ทะยานไกลกว่าหลักร้อยล้าน

โดยตั้งเป้าว่า ปีนี้รายได้จากลูกค้าโครงการจะอยู่ที่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนลูกค้าทั่วไปประมาณ 200 ล้านบาท รวมกับรายได้จากธุรกิจใหม่ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก็คาดว่ารายได้กลมๆ จะไปแตะที่ 1.5 พันล้านบาทได้

ถ้าเป็นไปตามแผน นั่นหมายความว่า เขาใช้เวลาเพียง 6 ปี ในการปั้นธุรกิจสู่หลักพันล้าน และใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี มีนามสกุลห้อยท้ายว่า “มหาชน”

โอฬาร บอกเราว่า ฝันของเขาใหญ่และท้าทายขึ้นเรื่อยๆ หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็อยากจะเห็นธุรกิจนี้ไปแตะที่หลักหมื่นล้านบาทให้ได้ และจะไม่เติบโตแค่ในประเทศไทย แต่อยากสยายปีกไปทั่วภูมิภาคนี้

อะไรเป็นแรงผลักดันให้เด็กคนหนึ่งมาไกลขนาดนี้ได้ เขาบอกว่า ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นนักกีฬา (นักกีฬาเทนนิสชายหาดทีมชาติไทย) ไม่ใช่การชอบเอาชนะ แต่คือ ชอบสู้ แอคทีฟ และอยู่เฉยไม่เป็น ที่สำคัญไม่กลัวเฟล เพราะเชื่อว่า ทุกความล้มเหลวเป็นบทเรียนที่ดีทั้งนั้น

 “อย่างตอนทำสิ่งพิมพ์โฆษณา ผมได้บทเรียนว่า การลอกเลียนแบบความสำเร็จคนอื่น โดยทำตามเขาทุกอย่าง ก็ใช่ว่าจะสำเร็จได้เหมือนเขา ธุรกิจการ์เม้นท์ สอนผมว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก การที่ปลาเล็กอย่างเรา จะเอาชนะปลาใหญ่ได้ ต้องรวมกันเป็นฝูง และต้องเร็ว ผมมองว่า นี่คือข้อดีของการที่เราไม่ซัคเซสตั้งแต่ธุรกิจแรก เลยได้บทเรียนนี้”

ใครที่อยากพิชิตความฝันได้แบบเขา คนหนุ่มบอกว่า ขอให้กล้าออกมาทำ และหาดีเอ็นเอให้เจอว่าตัวเราชอบอะไร เพราะการทำสิ่งที่รัก จะไม่เหมือนการทำงาน เราจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ขณะการทำธุรกิจต้องสร้างความแตกต่าง มีไอเดีย และนวัตกรรม ต้องเป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจนั้นๆ ไม่ไปลอกเลียนแบบใคร ทำธุรกิจต้องพัฒนาไม่หยุดนิ่ง ไม่หลงระเริงแม้วันที่รู้สึกว่าตัวเองสำเร็จแล้ว และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้น “คอนเนคชั่น” ยิ่งสำคัญ ต้องสร้างและรักษาไว้ให้ได้

คมคิดธุรกิจคนหนุ่มผู้มีฝันใหญ่ ซึ่งฝันนั้นจะไปได้ไกลแค่ไหน เขาพร้อมพิสูจน์ให้เห็นแล้ว!

  ...........................................

  Key to success

  สูตรก้าวกระโดดธุรกิจ

๐ ใช้นวัตกรรมเป็นแต้มต่อในธุรกิจ

๐ จับมือพันธมิตรสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

๐ หาช่องว่างในตลาดใหม่ๆ

๐ ทำธุรกิจที่มีมูลค่า มีโอกาสเติบโต

๐ ในวางแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในวันที่พร้อม

๐ ใช้บทเรียนในอดีต มานำทางธุรกิจในวันนี้

๐ คอนเนคชั่น สำคัญ ต้องสร้างและรักษาไว้