เปิดโครงการแก้ปัญหาหนี้ครู ที่ครม.ตีกลับ

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผย ในส่วนที่ คณะรัฐมนตรี(ครม.) ตีกลับให้กลับไปศึกษาใหม่นั้นเป็นวาระที่กระทรวงการคลัง เสนอโครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษานั้นมีรายละเอียดที่น่าสนใจของโครงการ โดยกระทรวงการคลังรายงานให้ครม.ทราบว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีบัญชาเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2558 ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาหามาตรการแก้ไขภาระหนี้สินแก่ข้าราชการครู ซึ่งกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาฯ และธนาคารออมสินได้หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทาง และมอบหมายให้ธนาคารออมสินชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดีหรือการบังคับคดี พักชำระดอกเบี้ย หรือพักชำระหนี้เงินต้นแล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารออมสินดำเนินมาตรการดังกล่าวมาระยะหนึ่ง

โดยมีครูและบุคลากรทางการศึกษาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 51,370 ราย รวมสินเชื่อ 72,190 ล้านบาท และจากนั้นรัฐบาลเร่งรัดให้ธนาคารออมสินหาแนวทางแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จครบวงจรและให้นำเสนอครม.เพื่อทราบ 

ธนาคารออมสินจึงเสนอเป็นโครงการที่ชื่อว่า"โครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ที่มีหลักการของโครงการระบุว่า ธนาคารออมสินอนุมัติวงเงินสินเชื่อใหม่เพิ่มเติมให้กับผู้กู้ที่เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ โดยจะใช้เงินจาก “เงินที่ทายาทจะได้รับในอนาคต" ในการค้ำประกันวงเงินจำนวน 2 วงเงิน  ได้แก่

1.วงเงินที่ใช้เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ครอบครัว(ช.พ.ค.) ในการค้ำประกัน

2.วงเงินที่ใช้เงินบำเหน็จตกทอดคำประกัน โดยผู้กู้สามารถเลือกกู้วงเงินใดวงเงินหนึ่งหรือทั้งสองวงเงินเพื่อนำเงินสินเชื่อใหม่มาลดภาระหนี้หรือปิดบัญชีหนี้ทีมีอยู่ในปัจจุบัน โดยธนาคารออมสินกำหนดวงเงินสินเชื่อใหม่ให้จำนวนไม่เกินสิทธิที่ทายาทจะได้รับเงินเมื่อผู้กู้เสียชีวิต โดยมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารออมสินหรือ 4% ต่อปี และผู้กู้ไม่ต้องผ่อนชำระหนี้วงเงินสินเชื่อใหม่ตลอดอายุสัญญา โดยที่ทายาทของผู้กู้จะต้องเซ็นยินยอมให้นำเงิน ช.พ.ค. หรือเงินบำเหน็จตกทอดที่จะนำมาค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารออมสินด้วย 

"ธนาคารออมสิน คาดผลที่จะได้รับว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถ แก้ไขบรรเทาปัญหาหนี้ครูฯได้ประมาณ283,000 ราย และสามารถลดภาระได้เฉลี่ยรายละ 3–6 แสนบาท ทำให้ลดภาระผ่อนชำระหนี้เดิมลง 2–4 พันบาทต่อเดือน หรือบางรายสามารถชำระหนี้ปิดบัญชีได้ และได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจากเดิมร้อยละ 5.85–6.70 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 4 ต่อปี โดยไม่มีค่างวดในการผ่อนชำระตลอดอายุของสัญญา"