Daily Market Outlook (14 ธ.ค.58)

Daily Market Outlook (14 ธ.ค.58)

กลัว Fed

คาดว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยจะปรับลงวันนี้สอดคล้องกับหุ้นโลกจากการที่ผู้เล่นเตรียมรับการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในรอบทศวรรษในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ในประเทศ ไม่ค่อยมีข่าวขับเคลื่อนตลาดเท่าใดนัก โดยทั้งข่าวกฎเกณฑ์และเขตการค้าเสรียังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ต่างประเทศ ตัวเลขสหรัฐที่แข็งแกร่งยิ่งย้ำว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ แม้จะมีข่าวดีจากจีนที่ผ่อนคลายแรงกดดัน ราคาน้ำมันที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยที่มีหุ้นพลังงานเป็นสัดส่วนใหญ่


หุ้นเด่นวันนี้: KBANK(Bt153.50; ซื้อ, ราคาเป้าหมายปี 59 ของ AWS 205.00 บาท)

บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นแนะนำวันนี้ เนื่องจากในช่วง high season ที่ใกล้จะมาถึงนี้น่าจะส่งผลประโยชน์อย่างมากกับธนาคาร โดยอิงจากส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งของทั้งยอดการใช้จ่ายบัตรเครดิตและการบริการร้านค้าในการรับบัตรเครดิต นอกจากนี้ เนื่องจากพอร์ตสินเชื่อของ KBANK ประกอบไปด้วยธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) ประมาณ 38% เราคาดว่าธนาคารจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะช่วย SME ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยเอื้อต่อการเร่งโครงการลงทุนและการลดภาษีจะช่วยกระตุ้นธุรกิจ SME ให้เข้าร่วมระบบภาษีนี้อย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้น เราเชื่อว่าปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันของการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในช่วงสิ้นปีรวมไปถึงในปีหน้าด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น จากการวิเคราะห์ CAMEL แสดงให้เห็นว่า ธนาคารยังคงรักษาพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดย KBANK ยังอยู่ในลำดับที่ 1 จากธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 11 แห่ง ถึงแม้ว่า NPL กระโดดขึ้นอยู่ที่ 2.6% ในไตรมาส 3/58 เพิ่มขึ้นจาก 2.4% ในไตรมาส 2/58 ธนาคารยังสามารถรักษาอัตราส่วนวัดความสามารถในการชำระหนี้ (coverage ratio) อยู่ในระดับสูงที่ 132% เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าถึงแม้การตั้งสำรองหนี้สูญที่อยู่ในระดับสูงของธนาคารจะทำให้กำไรสุทธิลดลงในปีนี้ แต่การตั้งสำรองนี้จะเป็นประโยชน์แก่ธนาคารในปีหน้าซึ่งเราคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว แม้เราคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานจะลดลง 12.8% ในปี 58 แต่ตัวเลขนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7.6% ในปี 59 ในปัจจุบัน KBANK ซื้อขายที่ 1.3 เท่า ของ 2015E BV ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา จึงทำให้เราแนะนำซื้อสะสม

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ธปท.ประชุมวันพุธคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคาแห่งประเทศไทยจะจัดประชุมครั้งสุดท้ายของปีในวันที่ 16 ธ.ค. หรือวันพุธนี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์ของบางกอกโพสต์คาดว่าคณะกรรมการจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% เพราะคณะกรรมการยังคงระวังการเพิ่มของหนี้ครัวเรือนแต่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชนและความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะผ่อนคลายแรงกดดันต่อ ธปท. ให้สามารถคงดอกเบี้ยได้ไปอย่างน้อยครึ่งหลังปีหน้า (Bangkok Post)

• ให้อำนาจธปท. ลงดาบสถาบันการเงินเฉพาะกิจก.คลังกำลังแก้กฎหมายให ธปท. มีอำนาจที่จะลงโทษสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รวมถึงธนาคารที่รัฐหนุนหลังอยู่ ได้แก่ ธนาคารออมสิน กฎหมายใหม่จะบังคับใช้อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งหมดต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 8.5% เฉกเช่นธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ก.คลังจะยังคงดูแลด้านนโยบายให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจเหล่านี้ (Bangkok Post)

• จำนวนนักท่องเที่ยวจากสแกนดิเนเวียที่ลดลงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า TUI Nordic ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจจัดนำเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวสแกนดิเนเวียได้ปรับลดยอดขายแพคเกจทัวร์ในเมืองไทยลง 10% ในปีนี้ และจำนวนเที่ยวบินจากในภูมิภาคอยู่ในช่วงขาลงในปัจจุบัน (Bangkok Post)

• เร่งเจรจาเปิด FTA กับปากีสถานกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเตรียมหารือกับปากีสถานเจรจาเร่งเปิดความตกลงการค้าเสรี (FTA) อีกรอบ ม.ค.นี้ เชื่อว่าไทยจะได้ประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ทั้งขยายการส่งออก เพิ่มการลงทุน และใช้ปากีสถานเป็นประตูการค้าเจาะจีนตะวันตก เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคมุสลิม (Bangkok Post)

ต่างประเทศ:

• ราคาน้ำมันที่ร่วงลง ความเคลื่อนไหวของเฟดและเงินหยวนที่อ่อนค่าลงเพิ่มความกังวลให้แก่นักลงทุน นักลงทุนทั่วโลกกังวลว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะอ่อนตัวลงอีกหรือไม่เนื่องจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงและเงินหยวนที่อ่อนค่าลงจะเป็นสัญญาณของการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกที่ขยายตัวมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มความกังวลก่อนการพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยชองเฟดในการประชุมระหว่างวันที่ 15-16 ธ.ค. เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ประกาศในช่วงสุดสัปดาห์ทำให้อารมณ์ตลาดดีขึ้นเล็กน้อย(Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อวันศุกร์เทียบกันเงินสกุลหลักในตะกร้าเงิน จากการเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้นสหรัฐและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำลง ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ร่วงลง 0.4% อยู่ที่ 97.560 จุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีฯ ลดลง 0.8% เนื่องจากเป็นสัปดาห์ที่หดหู่ของตลาดหุ้นสหรัฐ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงเมื่อวันศุกร์ จากราคาน้ำมันที่ร่วงลงเพิ่มความกังวลให้แก่นักลงทุนเกี่ยวกับความคาดหวังในการขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกรอบเกือบทศวรรษในสัปดาห์นี้ ข้อมูลที่แข็งแกร่งเกี่ยวกับยอดค้าปลีกสหรัฐและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสามารถกระตุ้นให้เฟดพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับการตกต่ำของตลาดตราสารหนี้สหรัฐที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง (Reuters)

• ความกังวลเกี่ยวกับจังค์บอนด์ นักลงทุนสหรัฐกังวลเกี่ยวกับตลาดตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับตราสารหนี้เอกชนที่ให้ผลตอบแทนสูงหลังจากที่บริษัท Third Avenue Management ที่นิวยอร์คได้กล่าวเมื่อวันพฤหัสว่าบริษัทกำลังพยายามยกเลิกกองทุนจังค์บอนด์มูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมกองทุนรวมสหรัฐตั้งแต่วิกฤตการเงินในปี 2551 (Reuters)

• การใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนพ.ย. เนื่องจากเทศกาลจับจ่ายในช่วงวันหยุดยาวเริ่มขึ้นอย่างคึกคัก ยอดค้าปลีกซึ่งไม่ร่วมการซื้อรถยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้างและร้านอาหาร/ภัตตาคารเพิ่มขึ้น 0.6% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค. (ตัวเลขยังไม่ได้ปรับปรุง) ยอดค้าปลีกดังกล่าวคิดเป็นมากกว่า 2 ใน 3 ของจีดีพีสหรัฐ นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.4% (Reuters)

• ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐในเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับแต่ปี 2548 เนื่องจากมีความหวังว่าจะมีรายได้ที่สูงขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 91.8 จุดในต้นเดือนธ.ค. จาก 91.3 จุดในเดือน พ.ย. (Reuters)

ยุโรป:

• หุ้นยุโรปร่วงในวันศุกร์ จากความกังวลว่าเงินหยวนที่อ่อนค่าจะกระทบเศรษฐกิจโลก และการที่ราคาน้ำมันร่วงหนัก ยังกดดันการตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ก่อนการประชุม Fed สัปดาห์นี้ที่โอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมีสูงมาก การที่หยวนอ่อนค่า กดดันหุ้นส่งออกของยุโรปไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ สินค้าฟุ่มเฟือยราคาสูง และกลุ่มโภคภัณฑ์ (Reuters)

เอเชีย:

• เงินหยวนอ่อนค่าลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง จากเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัว และการคาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย(Reuters)

• ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนกลับพลิกมาขยายตัว แรงสุดในรอบ 5 เดือน ในเดือน พ.ย. อาจเป็นสัญญาณว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนกำลังจะหยุดยั้งการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนขยายตัว 6.2% YoYในเดือนที่แล้ว เร่งตัวขึ้นจาก 5.6% ในเดือน ต.ค. และดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดที่ 5.6% (Reuters)

• การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนขยายตัวที่ 10.2% ใน 11 เดือนแรกของปี 2015 ไม่เปลี่ยนแปลงจากในช่วง 10 เดือนแรก แต่สูงกว่าตลาดคาดที่ 10.1% เล็กน้อย การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ถือเป็นองค์ประกอบหลักประการหนึ่งของ GDP จีน(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันล่วงหน้าร่วงวันศุกร์ องค์กรพลังงานระหว่างประเทศคาดว่าอุปทานจะยิ่งล้นเกินหนักขึ้นในปี 59 เนื่องจากอุปสงค์ชะลอตัวลงและไม่มีสัญญาณว่าโอเปคจะชะลอการผลิตเลยเนื่องจากต้องการชิงส่วนแบ่งตลาด Brent ลดลงต่ำกว่า 38 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกนับแต่ ธ.ค. 2551 ลดลง 1.80 ดอลลาร์ (-4.5%) ปิดที่ 37.93 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐลงไปช่วง 35 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับแต่ ก.พ. 2552 ลด 1.14 ดอลลาร์ (-3%) ปิดที่ 35.62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากร่วงแตะจุดต่ำสุดที่ 35.35 ดอลลาร์ในระหว่างวัน (Reuters)

• ราคาทองดีดกลับวันศุกร์ หักล้างกับการเป็นลบก่อนหน้านี้เนื่องจากค่าดอลลาร์และผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลง แต่ก็ยังเป็นการลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 7 ใน 8 เพราะนักลงทุนคาดว่าสหรัฐน่าจะขึ้นดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า ทองคำตลาดจรสหรัฐที่เคยลงไปก่อนหน้านี้ กลับมาปรับขึ้น 0.7% มาอยู่ที่ระดับ 1,078.76 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)