พท.จี้'อุดมเดช'ลาออกจากตำแหน่งรมช.กลาโหม

พท.จี้'อุดมเดช'ลาออกจากตำแหน่งรมช.กลาโหม

พท.ออกแถลงการณ์จี้"อุดมเดช"พิจารณาตัวเอง ด้วยการลาออกจากตำแหน่งรมช.กลาโหม เซ่นทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์ เรื่องโครงการอุทยานราชภักดิ์ โดยมีใจความสรุปได้ว่าตามที่พรรคเพื่อไทยได้มีแถลงการณ์ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 19 พฤศจิกายน และ 24 พฤศจิกายน เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงรายละเอียดและมาตรการดำเนินการต่าง ๆ กรณีมีการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับรู้และสนับสนุนโครงการอุทยานฯ มาตั้งแต่ต้น แสดงความรับผิดชอบและดำเนินการตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบด้วยความโปร่งใส ไม่เห็นแก่ผู้ใดนั้น ต่อมาพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม แต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีโครงการอุทยานฯ ทั้งๆ ที่ได้ปฏิเสธและยืนยันต่อสาธารณะมาโดยตลอดว่า โครงการอุทยานฯ ไม่เกี่ยวข้องกับทางราชการและดำเนินการโดยโปร่งใส               

ขณะนี้ได้ปรากฏข้อเท็จจริงสู่สาธารณะเพิ่มเติมขึ้นจากเดิม พรรคเพื่อไทยจึงเห็นเป็นความจำเป็นที่จะต้องแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ รวมทั้งเสนอข้อเรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบดังกล่าว คือ

1.ปรากฏข้อเท็จจริงกรณีนายชัยสิทธิ์  ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดเผยว่า เงินที่ใช้ในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีส่วนหนึ่งมาจากงบกลาง จำนวน 63.57 ล้านบาท โดยผู้ที่รับผิดชอบในการสั่งจ่ายเงินคือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก จึงเห็นได้ว่าโครงการอุทยานฯ ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า โครงการอุทยานฯ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด  2.ปรากฏข้อเท็จจริงว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรและดำเนินการก่อสร้างมีราคาสูงผิดปกติ เช่น งานสร้างป้ายทางเข้า (ป้ายชื่อ) ใช้งบประมาณถึง 5,031,700 บาท งบประมาณสร้างอาคารรักษาความปลอดภัย 2,254,300 บาท งานก่อสร้างรั้วรอบบริเวณภายในอุทยานราชภักดิ์ ใช้งบประมาณถึง 9,343,500 บาท เป็นต้น และ3.ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลทหารได้ออกหมายจับที่ 33/2558 และ 35/2558 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และที่ 47/2558 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ให้จับกุมดำเนินคดีกับพันเอกคชาชาติ บุญดี และพลตรีสุชาติ  พรมใหม่      

สำหรับพลตรีสุชาตินั้นเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ ซึ่งมีพลเอกอุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานมูลนิธิฯ อีกทั้งเคยทำหน้าที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการของพลเอกอุดมเดชมาตั้งแต่ครั้งเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นผบ.ร.11 รอ.พล1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารคุมหน่วยรบที่สำคัญยิ่งของกองทัพบก และครั้นเมื่อพลเอกอุดมเดชกำลังจะเกษียณอายุ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้กับพันเอกสุชาติเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อัตราพลตรี               

สำหรับพันเอกคชาชาตินั้น พลเอกอุดมเดชได้แต่งตั้งให้เป็นผบ.กรมทหารพรานที่ 36 ทภ.3 และจากนั้นได้ย้ายให้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ป.11 รอ.ทภ.1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารที่มีความสำคัญในกองทัพบกเช่นกัน และสุดท้ายเมื่อพลเอกอุดมเดชใกล้เกษียณอายุ ก็ได้ออกคำสั่งเลื่อนพันเอกคชาชาติเป็นรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 แต่เมื่อพลเอกธีรชัย นาควานิช มาดำรงตำแหน่งผบ.ทบ. ได้ยกเลิกคำสั่งพร้อมส่งตัวพันเอกคชาชาติกลับกองทัพภาคที่ 3 โดยเหตุนี้ทั้งพลตรีสุชาติและพันเอกคชาชาติจึงเป็นนายทหารที่มีความใกล้ชิดกับพลเอกอุดมเดช ทำหน้าที่ประหนึ่งนายทหารคนสนิท และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษต่างๆ มากมายนอกเหนือจากตำแหน่งทางทหารที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่พลตรีสุชาติถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์            

พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะเพิ่มเติมดังที่กล่าวมาในข้อ 1 ถึงข้อ 3 ชี้ให้เห็นว่าโครงการอุทยานฯ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางราชการมีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างชัดเจน การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาในระดับชั้นต่าง ๆ โดยลำดับมาจึงเป็นความบกพร่องและไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยจึงมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้ 1.พลเอกอุดมเดชควรพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจากเมื่อพลตรีสุชาติและพันเอกคชาชาติถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามมาตรา 112 และ 113 ตลอดจนความผิดทางอาญาอื่น ๆ พลเอกอุดมเดชจึงมีความมัวหมองอย่างยิ่งที่อาจจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับเรื่องต่าง ๆ ที่กำลังถูกกล่าวหาอยู่  พลเอกอุดมเดชในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งผบ.ร.21 และผบ.ทบ. และการเป็นราชองครักษ์จึงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เพื่อความสง่างาม เพื่อดำรงศักดิ์ศรีของกองทัพบกและเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ พลเอกอุดมเดชไม่อาจดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้อีกต่อไปแม้แต่น้อย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และอดีต ผบ.ทบ. พลเอกประวิตร และพลเอกอุดมเดช จะต้องร่วมกันตัดสินใจเพื่อดำรงไว้ซึ่งความจงรักภักดีของกองทัพบกที่มีต่อสถาบันอย่างหาที่สุดมิได้ให้จนได้    

2.เมื่อปรากฏว่ามีการใช้งบกลางของรัฐบาล และรัฐบาลมีมติครม.มอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ จึงมีความชัดเจนว่าโครงการอุทยานฯ อยู่ในความรับรู้เห็นชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีข่าวทางสื่อบ่งบอกว่า นายกรัฐมนตรีมีความสนิทสนมกับเซียนพระผู้รับจ้างถึงขนาดไปแสดงความยินดีเมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายกอบต.ในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.  สิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกมาโดยตลอดเกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์จึงสวนทางกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีพฤติกรรมปกปิด ปฏิเสธความรับผิดชอบ ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติของคสช.เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบกับกรณีดังกล่าวในฐานะที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญที่แถลงต่อสาธารณะว่า จะปกป้องสถาบันและจะป้องกันปราบปรามการทุจริตนอกจากนั้น รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวงจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น            

3.เมื่อมีพฤติการณ์ว่ามีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น มีการแสวงหาประโยชน์จากโครงการ ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของป.ป.ช. สตง. สตช. กรมสอบสวนคดีพิเศษ และปปง. ที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งนี้ การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ย่อมมีปัญหาในทางหลักการว่าจะเป็นการสอบสวนด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงใด ๆ และจะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ ที่ถูกต้องควรมอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงให้เข้ามาตรวจสอบจึงจะมีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า