กรุงไทย ตั้งเป้าเพิ่มยอดสินเชื่อเป็น 3.4 หมื่นลบ.

กรุงไทย ตั้งเป้าเพิ่มยอดสินเชื่อเป็น 3.4 หมื่นลบ.

"ธนาคารกรุงไทย" จับมือ "เอสซีจี ซิเมนต์ฯ" ปล่อยสินเชื่อให้ผู้รับเหมาภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ พร้อมตั้งเป้าเพิ่มยอดสินเชื่อเป็น 3.4 หมื่นล้านบาท

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือKTB เปิดเผยว่า ธนาคารได้ร่วมมือกับ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด สนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการที่ดำเนินงานรับเหมาก่อสร้างหรืองานจัดซื้อและจัดจ้างของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอสำหรับการดำเนินงาน โดยให้สินเชื่อระยะสั้นสำหรับซื้อวัสดุก่อสร้างกับเอสซีจี หรือผู้แทนจำหน่ายของเอสซีจี รวมทั้งให้บริการเบิกใช้วงเงินและชำระหนี้ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคาร

“ธนาคารกรุงไทยนับเป็นธนาคารแห่งแรกที่ให้บริการด้านซัพพลายเชนครอบคลุมไปถึงผู้รับเหมาภาครัฐ จากเดิมที่ให้บริการเฉพาะกลุ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้า และกลุ่มผู้ผลิตหรือจัดหาสินค้า นอกจากนี้ จากความพร้อมและความได้เปรียบในเรื่องระบบชำระเงิน และการโอนสิทธิ์ของหน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจผ่านระบบของธนาคารกรุงไทยเพียงแห่งเดียว ทำให้ผู้รับเหมาภาครัฐสามารถเบิกใช้วงเงินได้อย่างสะดวกสบายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และทำให้ได้รับวงเงินกู้โดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันต่ำ โดยธนาคารรับภาระค้ำประกันให้กับผู้รับเหมา รวมทั้งผู้รับเหมายังได้รับสินค้าที่มีมาตรฐานจากเอสซีจี”

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ กล่าวต่อไปว่า การร่วมมือกับ เอสซีจี ในครั้งนี้ จะช่วยลดต้นทุนโดยรวมด้านซัพพลายเชน ลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการลูกหนี้ ตลอดจนลดต้นทุนการดำเนินงาน สามารถลดเวลาการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และธนาคารมั่นใจว่าจากการให้บริการด้านซัพพลายเชนแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของบริการด้านซัพพลายเชน โดยตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 12% เป็น 25% และวงเงิน​สินเชื่อซัพพลายเชนของธนาคารจะเพิ่มขึ้นเป็น 34,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี

ด้าน นายนิธิ ภัทรโชค ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ตลาดในประเทศ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยเสริมศักยภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มในการแข่งขันให้กับคู่ธุรกิจ ทั้งผู้แทนจำหน่าย และผู้รับเหมาโดยรวมในซัพพลายเชน ลดความเสี่ยง เสริมสภาพคล่องในการรับงาน และต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง ส่งผลให้คู่ธุรกิจในซัพพลายเชนเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นโครงการที่ดีและสอดคล้องกับแผนธุรกิจที่รองรับแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ