เริ่มทรงตัวได้

เริ่มทรงตัวได้

เน้นเล่นสั้น เล็งหุ้นเป็นรายตัว ลงแรงซื้อ เด้งขึ้นขาย เน้นพื้นฐานดี ปันผลสูง

UOBKH แนวโน้มตลาดวันนี้ โดย ยศพณ แสงนิล, CFA :  เริ่มทรงตัวได้

ตลาดไทยเมื่อวานนี้ยังคงมีแรงกดดันหลักจากกลุ่มสื่อสาร นำโดย True และ Advanc ที่พักฐานลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ตัวเลขการส่งออกเดือนตุลาคมที่ออกมาแย่กว่าคาด โดยปรับลดลงกว่า 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนก็ทำให้ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อ และตลาดดูเหมือนจะขาดปัจจัยใหม่ๆเข้ามาสนับสนุน ตลาดวันนี้น่าจะเทรดด้วยปริมาณซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากนักลงทุนฝั่งสหรัฐเข้าสู่ช่วงวันหยุด Thanksgiving และนักลงทุนส่วนใหญ่รอฟังผลการประชุม ECB ในสัปดาห์หน้า และหุ้นหลักในกลุ่มสื่อสารอย่าง True และ Advanc มีโอกาสกดดันตลาดได้ต่อ ดังนั้น ตลาดจะซึมๆต่อไปแต่ก็ยังไม่น่าหลุดแนวรับบริเวณ 1375-1380 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวได้ดีช่วงนี้ช่วยหนุนกลุ่มพลังงาน วันนี้ SET น่าจะแกว่งในกรอบ 1375-1400 เน้นเล่นสั้นเฉพาะหุ้นกลุ่มที่มี story ดีรายตัว เช่น กลุ่มฤดูกาล high season(โรงพยาบาล, ท่องเที่ยว) กลุ่มก่อสร้าง(รับเหมา, วัสดุก่อสร้าง) และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อน(electronics)

แนวรับ/แนวต้าน : 1380/1410 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

กลยุทธ์ : เน้นเล่นสั้น เล็งหุ้นเป็นรายตัว ลงแรงซื้อ เด้งขึ้นขาย เน้นพื้นฐานดี ปันผลสูง และได้ประโยชน์จากโครงการรัฐ บวกกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า

นักลงทุนระยะสั้น :   SVI (5.50), BDMS (25.50)

SVI (5.50) งบ Q3 ออกมาดีแล้ว ต่อไปงบ Q4 จะเข้าสู่ช่วงพีค ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้ส่งออกง่ายขึ้นและไม่ส่งออกไปจีน ทำให้ผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวมีค่อนข้างน้อยต่อ SVI ส่วนปีนี้จะเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่เหมือนก่อนช่วงไฟไหม้ ประกอบกับ demand จากยุโรปยังแข็งแกร่งอยู่และปีหน้าจะได้ลูกค้าใหม่จากอเมริกา 4 ราย ส่งผลให้กำไรมีโอกาสจะโตถึง 40% ในปีหน้า

BDMS (25.50) โดยขณะนี้ BDMS มีราคาถูกที่สุดและ upside ที่สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล ด้วย Target price ที่เราให้ไว้อยู่ที่ 25.50 ซึ่งให้ upside สูงถึง 20% ปัจจัยบวก มีอยู่หลายประการนะครับ เช่น 1.)BDMS จะสร้างตึกเพิ่มอีก 6 ตึก แต่ละตึกมี 60 เตียง ลงทุน 6 พันล้านบาท และ 2 พันล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ โดยจะสร้างไว้รองรับผู้ป่วยต่างชาติจากการเปิด AEC โดยเราคาดว่าจะช่วยเพิ่ม capacity ได้ถึง 74% ภายในปี 2018 2.)BDMS มีแผนเปิดโรงพยาบาลเพิ่ม คือสมิทติเวช ชลบุรีในปีนี้ และเปาโลรังสิต และจอมเทียน Hospital ในปีหน้า และตั้งใจจะซื้อโรงพยาบาลเพิ่มอีก 6 โรงพยาบาลให้มีครบทั้งหมด 50 แห่ง 3.)อัตราส่วนของผู้ป่วยต่างชาติมีมากขึ้นเรื่อยๆ (30% เทียบกับ 25% เมื่อ 5 ปีก่อน) 4.)มีแผนขยายธุรกิจขายยาและเวชภัณฑ์ที่มี Margin สูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไป สรุปคือ BDMS มี upside สูงถึง 20% และมีแผนขยายธุรกิจอย่างชัดเจน จัดเป็นหุ้น defensive ที่ต้านตลาดและเศรษฐกิจขาลงได้ดี


นักลงทุนระยะยาว : SYNTEC (3.80), CK (32)

SYNTEC (3.80) สำหรับหุ้นรับเหมาขนาดเล็กตอนนี้มีเพียงตัวเดียวที่ราคายังถูกอยู่และเป็นหุ้นพื้นฐานดี ปันผลมั่นคงคือ SYNTEC มี margin สูงและมีการรับรู้รายได้ต่อเนื่อง ทำให้งบไตรมาส 4 จะดีต่อเนื่องจากงบไตรมาส 2และ3 ที่ดีอยู่แล้วโดยทั้งปี 58 การรับงานทั้งปีจะสูงใกล้เคียง 1 หมื่นล้านบาทถือว่าเติบโตชัดเจนจากปีก่อน นอกจากนี้ยังมีแผนประมูลงานเพิ่มอีกในช่วงระยะสั้นนี้ได้แก่งาน CPN, NOBLE, SUPALAI บวกกับแผนการขยายส่วนต่อรถไฟฟ้าของรัฐบาลระยะยาวก็ช่วยให้มีการสร้างคอนโดเพิ่มและประมูลงานก่อสร้างเพิ่ม ทำให้มีรายได้มาเพิ่มระยะสั้นถึงยาวให้ SYNTEC

CK (32) (1)  Mega projects เช่นรางคู่และการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มจะช่วย earnings ให้เติบโตสูง 15% ในปีหน้า (2)การควบรวมกิจการของบริษัทลูก BMCL & BECL น่าจะอนุมัติเร็วๆนี้ (3)นอกจาก projects ของรัฐบาลยังมีโครงการลูก บริษัทลูก เช่น CKP มีโครงการน้ำบาก (Hydroelectric dam) ในประเทศลาว 1หมื่น7พันล้านบาท กำลังเจรจาน่าจะเซ็นสัญญา Q1 ปีหน้า (4)Q3 & Q4 sale & earnings ไม่ค่อยดี โครงการ mega projects ประมูลชนะปีนี้เริ่มทำปีหน้า ช่วงนี้เป็นโอกาสดีในการเริ่มเก็บสะสม CK (5)ราคาปัจจุบันให้ upside สูงกว่าคู่แข่งทั้ง ITD และ STEC



ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน

ปัจจัยภายในประเทศ

+ เอกชนชี้เห็นสัญญาณการลงทุนเอกชนเริ่มฟื้นตัว "บัณฑูร" ชี้เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จากการลงทุนภาครัฐ แนะเร่งหาโอกาส ขณะคลังเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งกฎระเบียบ-งบลงทุน คาดปีหน้าอันดับการลงทุนของไทยดีขึ้น

+ "เอ็กโก้-ไออาร์พีซี-โกลว์-โกลบอล เพาเวอร์" 4 บริษัทพลังงาน เตรียมนำพื้นที่พัฒนาเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน พร้อมเจรจาตรงกับรัฐบาลหรือรอประมูลไอพีพี ด้าน "เอ็กโก้" จ่อลดสัดส่วนรายได้ในประเทศลงเหลือ 50% จาก 63% หันเพิ่มรายได้ต่างเทศ หวังดันกำไรปี 2560 แตะ 1 หมื่นล้าน

- 4จี ยังไม่เห็นผล-ดิจิทัลไทยแลนด์ เคลื่อนช้า "ไอดีซี" คาดเงินสะพัดใช้จ่ายไอทีภาพรวมปี 2559 โต 3% หลังปีนี้รับลดคาดการณ์เหลือ 2% เหตุนี้ครัวเรือนสะสม-ภาคส่งออกยังไม่ฟื้น ต้องพึ่งพาโปรเจครัฐขับเคลื่อนเป็นหลัก ฉุดคอนซูเมอร์ใช้จ่ายสินค้าไอทีต่ำสุดรอบ 5 ปีคาด 10 เทรนด์ เทคโนฯ น่าจับตา ช่อง 5 ปีจากนี้

+ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เทศกาลลอยกระทงในปีนี้คึกคักกว่าปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 100,000 คน แม้ที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์ก่อการร้ายในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสก็ตาม แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวประเทศไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีความเชื่อมั่นประเทศไทย ทำให้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 28.8 ล้านคน รายได้ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งขณะนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวล่าสุดอยู่ที่ 27 ล้านคน

ปัจจัยต่างประเทศ

+ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,813.39 จุด เพิ่มขึ้น 1.20 จุด หรือ +0.01%

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (25 พ.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ และข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ปรับตัวลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการซื้อขายก่อนที่จะถึงวันหยุดเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving)

+ ดัชนี FTSE 100 ปิดเพิ่มขึ้น 60.41 จุด หรือ 0.96% ที่ 6,337.64 จุด

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (25 พ.ย.) โดยได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย หลังจากรัฐบาลมีแผนจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย

- ดัชนีนิกเกอิปิดลบ 77.31 จุด หรือ 0.39% แตะที่ 19,847.58 จุด

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบ เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากเกิดเหตุเครื่องบินขับไล่ของรัสเซียถูกตุรกียิงตกบริเวณชายแดนซีเรียเมื่อวานนี้

- สัญญาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน ม.ค.เพิ่มขึ้น 17 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 43.04 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 พ.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานที่สูงเกินไป