TICON - ถือ

TICON - ถือ

การฟื้นตัวที่ยาวนาน

ประเด็นการลงทุน

ในบรรดาทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การบริหารของ TICON (รวมถึงกองรีทส์และกองอสังหาฯ) ดูเหมือนว่า อัตราการเช่าพื้นที่ของทั้งโกดังสินค้าและโรงงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวยังคงล่าช้า แม้ว่าเรามองว่า กำไรหลักของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตในปี 2559 YoY เรายังคงคิดว่าอัตราผลตอบแทบจากเงินปันผลไม่น่าสนใจพอที่จะปรับคำแนะนำ - โดยอยู่ที่ 4.2% ในปี 2558 และ 4.4% ปี 2559 ด้วยอัตราการจ่ายเงินปันผล 70% (ค่าเฉลี่ยอัตราผลตอบแทนในระยะยาวอยู่ที่ 7%) อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อกำไรยังคงมีจำกัดเนื่องจากบริษัทจะมีการขายสินทรัพย์บางส่วนออกไป เนื่องจากความต้องการ CAPEX ของบริษัทเอง เรายังคงคำแนะนำ ถือ จากการที่มองไม่เห็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว เรามองว่านี่เป็นโอกาสที่เหมาะสมในการเริ่มจับตาดู เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

ต้นทุนและอัตราการเช่าพื้นที่ต่ำฉุดกำไรสุทธิ

อัตราการเช่าพื้นที่ฟื้นตัวเล็กน้อยในตั้งแต่ไตรมาส 1/58 และยังคงอยู่ที่ประมาณ 63% ในขณะที่ยังคงมีการตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ที่ไม่มีการเช่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังมีความกดดันต่อ EBIT ของบริษัท นอกจากนี้ ที่ดินที่อยู่ภายใต้การพัฒนาและที่ดินเปล่ายังคงอยู่นะระดับสูง (ประมาณ 1,500ไร่) โดยอัตราดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ยังกล่าวยังส่งผลลบต่อการดำเนินงานในระยะสั้นถึงกลางของบริษัทอีกด้วย โดยทั้งสองประเด็นเป็นปัจจัยหลักเบื้องหลังกำไรหลักที่ต่ำหรือขาดทุนตั้งแต่ไตรมาส 2/57

แผน 5 ปีและการประกาศจ่ายปันผล

บริษัทประกาศแผนการลงทุน 5 ปีที่ 3.3 หมื่นล้านบาท ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามองเห็นากรลดลงของแผนขยายตัวในไทย ในขณะที่ผู้บริหารเริ่มลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะ อินโดนีเซีย การลงทุนในไทยลดลง 16% ที่ 2.9 พันล้านบาท ในขณะที่งบการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นราว 600% ที่ 5.6 พันล้านบาทในปี 2563 ที่มาของเงินลงทุนของบริษัทมาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองรีทส์ รวมกับการขายที่ดินเปล่า เราคาดงบลงทุนในปีหน้าลดลง เหลือ 4.2 พันล้านบาท จากความพยายามของบริษัทที่จะลดปริมาณอุปทานใหม่เพื่อกระตุ้นอัตราการเช่าซื้อในสินทรัพย์เดิม นอกจากนี้ แนวโน้มกำไรสุทธิที่ทรงตัว YoY ในปี 2558

และอัตราการจ่ายปันผลที่ 72% ในปีที่ผ่านมา บริษัทอาจมีการจ่ายปันผลที่สูงกว่านโยบายของบริษัทที่ 40% และน่าจะอยู่ประมาณ 70% เพื่อรักษาระดับอัตราเงินปันผลต่อหุ้น

อัพไซด์จากการขายที่ดิน

จากแผนการลงทุนของบริษัท เราคาดบริษัทจะขายที่ดินเปล่าต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 5 ปี ด้วยรายรับประมาณ 8.6 พันล้านบาท โดยที่ดินที่ขายจะเป็นที่ดินที่มีอัตรากำไรสูง (กำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 45%) และไม่สามารถนำมาใช้ในเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งคาดน่าจะเข้ามาช่วยหนุนกำไรของบริษัทรวมถึงเป็นเงินทุนในอนาคด อย่างไรก็ตาม จากการที่ผู้บริหารยังไม่ได้เจาะจงว่าจะขายที่ดินหรือสินทรัพย์ส่วยไหน เราจึงยังไม่รวมรายการนี้เข้ามาในประมาณการ นอกจากนี้ การขายสินทรัพย์เข้ากองรีทส์น่าจะช่วยให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพมากกว่าและน่าจะยังทำให้สามารรายงานกำไรสุทธิในปีที่กำลังจะมาถึง