ไปตามเส้นทางของเรา “เขาค้อ”

ไปตามเส้นทางของเรา “เขาค้อ”

แสงอุ่นๆ ยามเช้า ดวงดาวบนท้องฟ้า และอากาศหนาวเย็น ช่างเป็นความรื่นรมย์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการพักผ่อนจริงๆ

เสียงหัวใจเต้นแรงเป็นจังหวะดูจะเร็วระรัวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเนินสูงชันข้างหน้า สวนทางกับกำลังขาที่กำลังลดระดับความเร็วลง


จากวิ่งเป็นเดิน จากเดินเป็นหยุดยืนพินิจเส้นทางและถามหัวใจตัวเองดูอีกครั้งว่า ไหวมั้ย ถ้าไหวก็ไปต่อ


ไม่ใช่แค่ความเหน็ดเหนื่อยหรอกที่ทำให้เราตัดสินใจหยุดเดินทาง แต่หัวใจที่ไร้ความหวังเป็นตัวฉุดรั้งพลังในตัวเราได้เป็นอย่างดี


นักปรัชญากรีกโบราณอย่าง “อริสโตเติล” กล่าวไว้ว่า “ความหวังคือความฝันขณะตื่น”(Hope is a waking dream.) เพราะฉะนั้น...ถ้าเรายังมีหวัง เราก็จะยังสามารถเดินได้ วิ่งได้ และพร้อมเดินทางต่อไปจนถึงปลายทาง


ฉันขยับปลายเท้าแล้วก้าวไปข้างหน้าในลักษณะของการเดิน เนินนั้นสูงชันก็จริง แต่สิ่งที่เราได้พบหลังตัดสินใจออกแรงจากเดินเป็นวิ่งอีกครั้งก็คือ “ความงดงาม”


มันคือความงดงามของธรรมชาติและหัวใจ ซึ่งช่วยยืนยันได้อย่างดีว่า ถ้าเราไม่หยุดเดิน หยุดวิ่ง หยุดหวัง เราจะพบกับปลายทางที่อยู่ไม่ไกลออกไป และที่นั่นเราจะพบกับ “ความสุข”


....................


ฉันไม่เคยมั่นใจเลยว่าทริปนี้จะเกิดขึ้นจริง จนกระทั่งเพื่อนที่กำลังเดินทางอยู่ในอีกประเทศหนึ่งส่งข้อความมาทางโซเชียลเน็ตเวิร์คว่า พรุ่งนี้จะถึงเมืองไทย และเราจะไปต่อ...


นั่นเองที่ทำให้ฉันต้องรีบกุลีกุจอจัดการงานที่คั่งค้าง เพื่อทำให้แผนการท่องเที่ยวที่วางไว้เกือบ 2 ปีเกิดขึ้นจริง ซึ่งปลายทางของเราในครั้งนี้อยู่ที่ เขาค้อ


เขาค้อกับฉันค่อนข้างคุ้นเคยกันดี เพราะตลอดทั้งปีนี้มีโอกาสเจอะเจอกันมากกว่า 3 ครั้ง และทุกครั้งฉันมีความสุข


ครั้งนี้ก็เช่นกัน ในฐานะ “เจ้าบ้าน” ที่มีเพื่อนจากประเทศข้างเคียงทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย มาเป็นแนวร่วมในการเดินทาง ฉันออกจะตื่นเต้นเล็กๆ เพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้รับแขกบ้านแขกเมืองอย่างนี้เท่าไร แต่สุดท้ายความตื่นเต้นก็กลายเป็นความตื้นตัน เพราะทุกคนประทับใจกับการเดินทางในครั้งนี้มาก


เราเลือกเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยเหตุผลหลายประการ หนึ่งในนั้นคือมีบ้านเพื่อนแสนดีอยู่ที่เขาค้อ เธอยินดีให้พวกเราไปค้างแรมที่บ้านของเธอได้ แถมยังต้อนรับอย่างอบอุ่น จนคำว่า “คุ้นเคย” เข้ามาประจำการอยู่ในหัวใจของพวกเราอย่างรวดเร็ว


แต่จริงๆ ถ้าไม่นอนบ้านเพื่อนเราก็มีที่พักหลายแห่งที่เล็งๆ ไว้ เพราะเขาค้อได้ชื่อว่าเป็นสถานที่พักตากอากาศที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง อากาศดีจนถึงขั้นที่มีสโลแกนของที่นี่ติดเอาไว้ว่า “พักเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1ปี” จึงไม่แปลกที่จะมีโรงแรมและรีสอร์ทเปิดให้บริการมากมายเต็มไปหมด


ไอดินกลิ่นดาว เป็นรีสอร์ทที่ค่อนข้างสงบเงียบและเป็นธรรมชาติมากๆ อยู่ติดกับ อ่างเก็บน้ำรัตนัย ซึ่งเป็นจุดชมหมอกเหนือน้ำยามเช้าที่สวยงาม โดยเฉพาะในหน้าหนาว เมื่อหมอกขาวลอยระเรี่ยกับผิวน้ำ ถือเป็นภาพงดงามราวกับอยู่ในความฝัน


กระท่อมไม้ไผ่หลังนั้นตั้งอยู่บนเนินเล็กๆ ที่แวดล้อมไปด้วยสีเขียวของธรรมชาติ ดูกลมกลืนและสะอาดตา ที่น่าสนใจคือการตกแต่งภายในไอดินกลิ่นดาวเก๋ไก๋ด้วยสไตล์วินเทจเล็กๆ เฟอร์นิเจอร์ของใช้เน้นสีสัน ส่วนเครื่องเรือนนั้นโดดเด่นด้วยการใช้ผ้าลายดอกไม้ เห็นแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ


เมื่อไม่จำเป็นต้องจับจองที่พัก เราจึงปักหลักที่บ้านเพื่อนกันเต็มที่ คืนนี้เพื่อนสาวต้อนรับเราด้วยอาหารพื้นถิ่นรสชาติดี ทั้งผัดมะระหวาน ยำเห็ดรวมมิตร แกงส้มชะอมไข่ และอีกหลายเมนู เรียกว่าอิ่มกับอาหารที่ประกอบจากผักพื้นบ้านจริงๆ


บนฟ้ามีดาว แต่เพราะเราเดินทางกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน คืนนั้นจึงต้องปิดประตูยกเลิกแผนการดูดาวไปก่อน จวบจนรุ่งขึ้นอีกคืนนั่นแหละ ดาวกับเราถึงจะได้เจอกัน


ไม่มีทะเลหมอกบนภูเขา แต่อากาศหนาวพร้อมตอกบัตรเข้างาน เพื่อนจากมาเลเซียของฉันสวมเสื้อวอร์มพร้อมออกวิ่งเรียกเหงื่อยามเช้า เราออกวิ่งไปพร้อมๆ กัน ท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อนนั้นมันช่างเป็นเส้นทางที่แสนวิเศษจริงๆ


“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าบ้านไม่เคยทำ” เจ้าของบ้านบนเขาค้อบอกเราแบบนั้น ก่อนจะหันไปสนใจกับกาแฟและอาหารเช้า


เรานั่งทิ้งตัวห้อยขาสบายๆ อยู่บนระเบียงหน้าบ้าน มองไปข้างหน้าเนิ่นนาน จนเพื่อนเจ้าของบ้านบอกว่า ที่ทิวเขาลูกนั้นกำลังจะมีกังหันลมขนาดยักษ์เกิดขึ้น เป็นโครงการยักษ์ใหญ่ที่จะมีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม คล้ายๆ กับหลายๆ จังหวัดที่มีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสงอาทิตย์ ไม่ต้องออกแรงจินตนาการฉันก็เห็นภาพ “ต้นพลังงาน” ที่ว่านั้นอย่างชัดเจน


แดดยามสายร้อนเกินกว่าจะทนนั่งเผาตัวเองอยู่ได้ เราขยับเขยื้อนร่างกายไปชิลกันต่อที่ Pino Latte ร้านกาแฟสุดชิคที่ “เขา” ว่า ไม่มาไม่ได้ (เขา-เป็นใคร? นั่นสิ) ว่าแล้วก็ขับรถทแยงมุมเฉียงของโลกขึ้นไปบนยอดเขาปลายทางซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของร้านกาแฟ


วิวแบบพาโนรามา 360 องศาหาชมได้ที่นี่จริงๆ นอกจากจะได้ชื่นชมวิวทิวเขาแล้ว ลมเย็นๆ ที่พัดเอื่อยๆ มาตลอดเวลา ยังทำให้หน้าแอบชาได้ไม่รู้ตัว เราบันทึกภาพอยู่ตรงนี้กันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะเข้าไปเลือกดื่มและทานของอร่อยกันเล็กน้อย


ใกล้ๆ กันคือสถานที่ตั้งของ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ซึ่งเป็นพุทธธรรมสถานที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงามวิจิตรบรรจง จุดเด่นอยู่ที่เจดีย์ที่ใช้เครื่องถ้วย อัญมณี และกระเบื้องสีต่างๆ มาประดับตกแต่งไว้โดยรอบ ส่วนอีกด้านคืออุโบสถพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่งดงามอลังการ สามารถมองเห็นได้แม้อยู่ไกลแสนไกล


แม้สมาชิกในทริปของเราจะค่อนข้าง AEC และมีทั้งชาวพุทธ คริสต์ อิสลาม แต่ก็ไม่ทำให้เวลาในการชื่นชมความงดงามหดหายไป ในทางตรงกันข้ามทุกคนใช้เวลาละเลียดศิลปะตรงนั้นกันเนิ่นนานทีเดียว


ทำไมใครๆ ก็มาเขาค้อ โดยเฉพาะในฤดูหนาว เหตุผลหนึ่งก็เพราะความหนาวนี่แหละที่เป็นแม่เหล็กสำคัญ แต่จะว่าไป ฉันเคยมาเขาค้อตอนฝนพรำด้วยหลายครั้ง รู้สึกว่าความสวยงามต่างกันอย่างสิ้นเชิง หน้าฝนสวยแบบเขียวฉ่ำวาว ส่วนหน้าหนาวสวย เหงา แต่แอบโรแมนติก


ดีกรีความโรแมนติกจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับบรรยากาศรอบข้างด้วยเช่นกัน อย่างที่ เดอะ บลู สกาย รีสอร์ท แอท เขาค้อ ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่รับประกันความหวานได้ เพราะแม้จะเป็นรีสอร์ทที่พัก แต่ก็เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเก็บภาพภายในที่ตกแต่งให้เป็นสวนสวยสไตล์อังกฤษได้อย่างไม่หวงพื้นที่


“อย่าลืมฉัน” อาจเป็นถ้อยคำรำพันแสนเศร้าของเขาและเธอที่มีต่อกัน แต่ “forget me not” ที่ดาษดื่นอยู่ตรงเนินเขาเล็กๆ นั้น คือความงดงามที่ทำให้ทุกหัวใจชื่นบานได้ดี


ฉันนั่งจิบชาอังกฤษและบิด scones กินไปพลาง เวลาที่เดอะ บลู สกาย หมดไปอย่างรวดเร็วจนบ่ายคล้อยไม่รู้ตัว พระอาทิตย์ทำทีว่าจะลาลับขอบฟ้าไปอย่างอ้อยอิ่ง สิ่งที่เราทุกคนพร้อมใจกันคิดก็คือ หลังจากนี้จะไปไหน ทำอะไร เพราะเรามาเที่ยวเขาค้อกันแบบไม่มี “แผนการ” ตั้งแต่แรก


ใครคนหนึ่งอยากลองทำกิจกรรมผจญภัย และใครอีก 4 คนก็เห็นดีด้วยจึงพากันไปลองเครื่องเล่นต่างๆ ที่อยู่ใน ภูแก้ว แอดเวนเจอร์ พาร์ค ศูนย์กลางกิจกรรมผจญภัยกลางแจ้งแห่งเขาค้อ


ที่นี่มีกิจกรรมใหม่ๆ รอให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพิสูจน์ความกล้าแข็งของร่างกายและหัวใจกันทุกปี ทั้งกิจกรรมปีนผา โล้ชิงช้าท้าวัดใจ พายเรือแคนู เหินเวหาข้ามน้ำ นั่งรถไต่เขา ฯลฯ แต่พวกเราเลือกกิจกรรมที่เล่นด้วยกันเป็นทีมได้ นั่นคือ Rope Challenge หรือฐานเชือกผจญภัย ซึ่งมีด่านให้ทดสอบขนาดหัวใจถึง 5 ฐาน เรียกว่าทั้งสนุก มัน และรักกันมากขึ้นจริงๆ


แทบหมดแรง แต่ไม่หมดพลัง คืนนี้เจ้าของบ้านชวนเราก่อกองไฟแล้วย่างบาร์บีคิวนั่งกินกันใต้ต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของบ้าน พระจันทร์ในคืนเดือนแรมเป็นใจให้เรามองดูดาวได้ถนัดตา หลังวางมือจากเตาย่างบาร์บีคิวแล้วพวกเราก็เข้าไปอาบน้ำและกลับมาอีกครั้งพร้อมอุปกรณ์กันหนาวทุกชนิดที่มี ทั้งเสื้อ หมวก ผ้าคลุมไหล่ และผ้าห่ม


ใช่ เรายกผ้าห่มออกมาห่มคลุมร่างอยู่บนเก้าอี้นนอนนั้นตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงเกือบๆ เที่ยงคืน ด้วยความที่วันนี้เป็นคืนเดือนมืดที่ไม่มืดเท่าไร เลยยังพอมองเห็นหน้ากันได้ตอนสนทนา ช่วงเวลาแบบนี้สามารถหาเรื่องมาคุยกันได้แบบเต็มที่ ตั้งแต่เรื่องราวในประเทศของตัวเอง ครอบครัว เพื่อนฝูง คนรัก แต่ที่ดูจะเป็นไฮไลท์หลักคือเรื่องของดวงดาว


พลังแห่งดวงดาวเกี่ยวโยงกับการใช้ชีวิต และมันคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สวยงามเสมอ


“Happy” เราตะโกนคำนี้กันทุกครั้งที่เห็นดาวตก กี่ปีแล้วนะที่เราไม่ได้เห็นดาวตกมากมายขนาดนี้ กี่ปีแล้วนะที่เราไม่มีเวลานอนดูท้องฟ้าแบบชิลๆ กี่ปีแล้วนะที่เรานั่งขมวดคิ้วอยู่หน้าจอแล้วลืมคำว่า “พักผ่อน” ไป กี่ปีแล้วนะ...


จากรัตติกาลที่มืดมิด ท้องฟ้าที่เคยปิดสนิทค่อยๆ สว่างไสวขึ้นอีกครั้งในช่วงเช้า เราออกมาสูดลมหายใจที่แสนสดชื่นเข้าไปเก็บซ่อนไว้ในปอดให้เต็มเปี่ยม เพราะไม่รู้อีกมากน้อยกี่นานที่จะกลับมาสัมผัสความบริสุทธิ์สดชื่นแบบนี้อีกครั้ง


เสียงคนงานจากรีสอร์ทบนเขาลงมาตัดหญ้าไปให้ม้ากินดังสนั่นแต่ไม่น่ารำคาญ เรายกแก้วกาแฟขึ้นจิบช้าๆ อีกครั้งและอีกครั้ง ไม่มีถ้อยคำสนทนาใดๆ แต่ทุกคนรับรู้ด้วยหัวใจว่าช่วงเวลานี้คือความสุข


เวลาพักผ่อนของเราหมดลงแล้วจริงๆ และสิ่งสุดท้ายที่เราร่วมทำก่อนจากลานั่นคือการกอด อ้อมแขนกว้างๆ ของเพื่อนร่วมทางทุกคนช่างอบอุ่นแสนดี พวกเรายืนยันว่าจะกลับมายืนตรงนี้ด้วยกันอีกครั้ง และหวังว่ามันจะเกิดขึ้นจริง


เพราะตราบใดที่อริสโตเติลยังยืนยันว่า “ความหวังคือความฝันขณะตื่น” ตราบนั้นเราจะยังคงมีความสุขกับการเดินทาง และเดินทาง


.................


การเดินทาง


ถ้าจะให้เดินทางในเขาค้อได้อย่างสนุก แนะนำให้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจะดีที่สุด จากกรุงเทพฯ ให้ใช้ถนนสายมิตรภาพมุ่งหน้าสระบุรี จากนั้นเลี้ยวซ้ายตามป้ายลพบุรี-เพชรบูรณ์ไปเรื่อยๆ ป้ายเขาดี ติดไว้ทุกที่ไม่มีหลง จนกระทั่งผ่านตัวเมืองเพชรบูรณ์ขึ้นไป ไม่ต้องเลี้ยวซ้ายตามป้าย “อ.เขาค้อ” แต่ให้ตรงไปทาง “อ.หล่มสัก” จากนั้นค่อยไปเลี้ยวซ้ายตรงไปเขาค้อ ทางจะดีกว่า เพราะไม่ชันมาก แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายตั้งแต่แยกแรกจะค่อนข้างชันและชันต่อเนื่อง เครื่องยนต์ต่ำกว่า 1500 ซีซี ไม่แนะนำเลย


แต่ถ้าใครจะลองนั่งประจำทางมาก็ได้ นั่งรถจากหมอชิตมุ่งหน้าเพชรบูรณ์ แล้วให้ต่อสองแถวมาลงเขาค้อ ค่าโดยสารรถสองแถวไม่แพงมาก ไม่เกินคนละ 100 บาท แต่ถ้าเหมาคันก็คงราวๆ 1,000 หรือจะสอบถามรายละเอียดการเดินทางและข้อมูลต่างๆ ได้ที่ ททท.สำนักงานพิษณุโลก โทรศัพท์ 0 5525 2742-3 ได้ทุกวันในเวลาราชการ