ยันแผน 'PDP' ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม

ยันแผน 'PDP' ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม

กระทรวงพลังงาน ยันแผน "PDP" ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม ชี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 37%

นายชวลิต พิชาลัย รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ PDP 2015 กระทรวงพลังงาน ได้เน้นในมิติการบริหารจัดการเพื่อรักษาความสมดุลย์ในการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นและจริงจัง ซึ่งภายใต้แผน PDP 2015 นี้ ได้วางแผนให้สามารถลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงจาก 0.506 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วย ในปี 2556 เหลือเพียง 0.319 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วย ในปี 2579 หรือจะช่วยให้การปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ลดลงได้สูงถึงร้อยละ 37 ระหว่างต้นแผนกับปลายแผน PDP 2015

ทั้งนี้ การลดปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากการที่แผน PDP 2015 ได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ตามแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกหรือ AEDP 2015 รวมถึงการกำหนดเป้าหมายตามแผนอนุรักษ์พลังงานหรือ EEDP 2015ที่จะลดสัดส่วนของการใช้พลังงานต่อรายได้ลงร้อยละ 30 โดยมุ่งผลไปยังกลุ่มเป้าหมายหลัก 4 กลุ่ม คือ อุตสาหกรรม อาคาร ที่อยู่อาศัย และภาครัฐ ซึ่งถือเป็นภาคส่วนที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ ในแผน PDP 2015 นี้ จะได้มีการศึกษาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะกรณีการเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดเข้ามาในระบบ ซึ่งจากการติดตาม เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดดังกล่าว พบว่า ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาบริหารจัดการ และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถลดปริมาณการปล่อยมลพิษที่เกิดจากขั้นตอนการผลิตไฟฟ้า โดยเบื้องต้นข้อมูลโรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในปี 2558 จะมีค่าควบคุมการปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เพียง 50 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งดีกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 180 ส่วนในล้านส่วน และค่าการปลดปล่อยฝุ่นละอองมีเพียง 30 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งดีกว่าค่ามาตรฐานกำหนดไว้ที่ 80 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

“กระทรวงพลังงาน ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า ตามแผน PDP 2015 จะมีการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลักควบคู่ไปกับการพัฒนาโรงไฟฟ้า และทางเลือกเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนำมาใช้นั้น เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงและทันสมัยที่สุด จึงให้หลักประกันได้ว่าการปลดปล่อยมลภาวะจะถูกควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่ามาตรฐานไปตลอดอายุของการผลิตไฟฟ้าถึง 30 ปี และจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนน้อยที่สุด" นายชวลิต กล่าว