คุก 43 ปี'การ์ดนปช.-พวก2คน' ยิงเอ็ม79ใส่กปปส.ปี57

คุก 43 ปี'การ์ดนปช.-พวก2คน' ยิงเอ็ม79ใส่กปปส.ปี57

จำคุก 43 ปี 4 เดือน“การ์ดนปช.กับพวกรวม 2 คน” ยิงเอ็ม 79 ใส่กปปส.ปี 57 ชุมนุมหน้าอาคารชินฯ 3

ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 6 พ.ย.58 เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายดำ อ.3820/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายณรงค์ศักดิ์ หรือตุ้ย พลายอร่าม อดีตการ์ด นปช. และนายพีรพงษ์ สินธุสนธิชาติ ผู้จัดหาอาวุธ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , กระทำการให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลฯ , ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 221 , 288 , 289 , 358 , 371 , 376 , พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7 , 8 ทวิ , 38 , 55 , 72 , 72 ทวิ , 74 , 78 และ พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 15 , 42 

โดยอัยการ บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค.57 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสอง กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันมีอาวุธปืนชนิดเครื่องยิงระเบิดสังหาร ขนาด 40 มิลลิเมตร 1 ลูก ที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นยุทธภัณฑ์ทางทหารไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วจำเลยทั้งสองกับพวก ร่วมกันนำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไปที่ ถ.ลาดพร้าว , ถ.รัชดาภิเษก , ถ.พหลโยธิน และถ.วิภาวดี-รังสิต ที่เป็นทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร 

หลังจากนั้น พวกจำเลย ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุน ยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม หน้าอาคารชินวัตร 3 แขวงและเขตจตุจักร กทม. อันเป็นการยิงปืน ซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน และที่ชุมชน โดยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งจำเลยทั้งสองกับพวกเล็งเห็นผลได้ว่า ลูกระเบิดยิง ชนิดระเบิดสังหารมีอานุภาพทำลายล้างที่รุนแรง สามารถทำอันตรายแก่ชีวิตบุคคลที่สัญจรผ่านบริเวณ ถ.วิภาวดี - รังสิต และกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่ชุมนุมอยู่บริเวณอาคารที่เกิดเหตุ ให้ถึงแก่ความตายและเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินได้ โดยจำเลยทั้งสองกับพวก กระทำไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากลูกกระสุนระเบิดตกห่างจากจุดที่นายประกิต กันยามา ผู้เสียหายที่ 1 ยืนอยู่ประมาณ 40 เมตร แล้วระเบิดขึ้น สะเก็ดระเบิดจึงไม่ถูกผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ถึงแก่ความตาย สมดังเจตนาของจำเลยทั้งสองกับพวก แต่มีสะเก็ดระเบิดกระเด็นถูกเสาอาคารโดมและต้นไม้ประดับของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 20,000 บาท 

ภายหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ เก็บเศษสะเก็ดระเบิดได้ 1 ถุงเป็นของกลาง เหตุเกิดที่แขวงจตุจักร แขวงจันทรเกษม แขวงจอมพล แขวงลาดยาว เขตจตุจักร ต่อเนื่องแขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง , แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง , แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน , เขตสีกัน , เขตดอนเมือง และแขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.เกี่ยวพันกัน โดยเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้ในวันที่ 16 ก.ค.57 และจำเลยที่ 2 ได้ในวันที่ 22 ก.ย.57 โดยจำเลยทั้งสอง เป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำ อ.4334/2557 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ 

โดยวันนี้ศาลเบิกตัว จำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำฯ เพื่อฟังคำพิพากษา ซึ่งระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล จำเลยทั้งสองไม่ได้การประกันตัวแต่อย่างใด 

ศาลพิเคราะห์ พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์มี นายยงยุทธ หรือชินจัง บุญดี เบิกความว่า ได้โทรศัพท์หาจำเลยที่ 1 ให้มารับเพื่อเดินทางไปยิงระเบิดใส่กลุ่ม กปปส.ไม่ให้เดินมาปิดอาคารที่เกิดเหตุ โดยนัดพบกันที่บริเวณอนุสรณ์สถาน หรือสนามกีฬาธูปเตมีย์ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์มารับ โดยนั่งด้านหลังและเป็นคนยิง หลังก่อเหตุเสร็จแล้วจึงนำอาวุธปืนดังกล่าววางไว้ในรถยนต์เช่นเดิม

แม้โจทก์จะมี นายยงยุทธ เบิกความเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และในชั้นสอบสวนนายยงยุทธให้การรับสารภาพ โดยให้ข้อเท็จจริงไว้สอดคล้องกัน คำเบิกความของนายยงยุทธ จึงรับฟังได้และโจทก์ ยังมีพ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ที่ร่วมสอบปากคำจำเลยที่ 1 กับเจ้าหน้าที่ทหาร เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยที่ 1 เล่าข้อเท็จจริงให้ฟังว่า ร่วมกับนายยงยุทธ ใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ยิงออกมาจากหน้าต่างของรถยนต์ โดยจำเลยที่ 1 รับเครื่องยิงลูกระเบิด มาจากนายไข่ที่บริเวณลานจอดรถยนต์ ห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว ซึ่งได้ลงบันทึกเป็นเอกสารหลักฐานสอดคล้องกันว่า จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่ขับรถให้นายชินจัง ใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่อาคารที่เกิดเหตุ และได้รับเงินจากจำเลยที่ 2 โดยโอนผ่านเข้าบัญชีนางพิสมัย หรือไหม งามผิว คนรัก ผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย และแม้ยอดเงินโอน ไม่ตรงจำนวนกัน แต่พบว่ามีการโอนโดยไม่มีสมุดคู่ฝาก หลังวันเกิดเหตุหลายครั้ง ซึ่งรวมจำนวนได้ 3,000 บาท 

และโจทก์ ยังมี พ.ต.ท.เฉลียง อินทิพย์ พนักงานสอบสวน เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และให้การยืนยันข้อเท็จจริงในบันทึกการซักถามว่า มีชายคนหนึ่งนำถุงใส่เต็นท์มามอบให้จำเลยที่ 1พร้อมบอกว่าภายในบรรจุเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 พร้อมลูกระเบิด จำเลยที่ 1 จึงเก็บมาไว้ที่เบาะด้านหลังรถยนต์ แล้วจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปรับนายยงยุทธจน กระทั่งไปถึงถ.หอวัง ปากทางออก ถ.วิภาวดี-รังสิตขาเข้า จำเลยที่ 1 จอดรถ นายยงยุทธซึ่งนั่งอยู่บริเวณด้านหลังเบาะ จึงเปิดกระจกข้างขวา แล้วใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เล็งและยิงไปยังอาคารที่เกิดเหตุ 1 นัด ประกอบกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.พหลโยธิน ก็เบิกความด้วยว่า หลังควบคุมตัวจำเลยที่ 1 ได้ จึงพาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ชี้สถานที่ต่างๆ อีกด้วย ดังนั้นพยานบุคคล พยานเอกสารและพยานวัตถุของโจทก์ที่นำสืบมา ล้วนสอดคล้องต้องกัน เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความด้วยความจริง  

ส่วนพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ โดยการกระทำของจำเลยที่ 1 ถือเป็นตัวการร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนยิงไปในที่เกิดเหตุ และย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่า เมื่อยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 แล้วสะเก็ดระเบิดจะไปถูกกลุ่มผู้ชุมนุมได้ แต่เมื่อการกระทำไม่บรรลุผล จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าบุคคลอื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านและที่ชุมชน และฐานร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288  

นอกจากนี้เมื่อสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 กระเด็นไปถูกเสาอาคารโดมและต้นไม้ประดับของอาคารบริษัทเอสซีแอสเสท ฯ ได้รับความเสียหาย จึงมีความผิดฐานร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่นและมีความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ด้วย 

ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์ มี ร.ต.ท.ทรงวุฒิ นิยมพงษ์ พนักงานสอบสวนสน.พหลโยธิน เบิกความว่า เมื่อสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่า ได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ที่ชั้น 5 ห้องอิมพีเรียลลาดพร้าว แล้วจำเลยที่ 1 เดินทางไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดที่ห้างดังกล่าว ต่อมาจึงไปรับนายยงยุทธไปก่อเหตุ แต่จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่ได้โอนเงินค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเงินนั้นเป็นค่าใช้จ่ายรายวัน และ พ.ต.ท.เฉลียง อินทิพย์ หนึ่งในคณะพนักงานสอบสวน พยานโจทก์อีกปาก เบิกความว่า ชั้นสอบสวนได้แจ้งข้อหาเดียวกับชั้นจับกุม ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา  

ศาลเห็นว่า แม้พยานโจทก์ทั้งสอง จะเป็นพยานบอกเล่า แต่โจทก์ยังมีคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 เป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาที่มีข้อความระบุชัดว่า จำเลยที่ 2 กับพวกโทรศัพท์ปรึกษาหารือวางแผนกัน เพื่อจะยิงใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวและเลิกชุมนุม ประกอบมีข้อเท็จจริงอื่นด้วยว่า จำเลยที่ 2 เข้าร่วมกิจกรรมกับคนเสื้อแดงครั้งแรก

จนกลุ่มดังกล่าวเปลี่ยนชื่อเป็นกลุ่มนปช.แล้วร่วมชุมนุม กลุ่มนปช.จนไปรู้จักกับผู้ร่วมก่อเหตุ ไปร่วมฝึกอาวุธที่เขาชะเมา ซึ่งเป็นสวนหลังบ้านจำเลยที่ 2 ไปซื้ออาวุธปืนเอ็ม 16 ไปเป็นการ์ดนปช. ไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 รับอาวุธปืนอาก้า หรือเอเค 47 มาไว้ก่อเหตุ เป็นหนึ่งในผู้ประสานให้ นายกฤษดาหรือดา ไชยแค ผู้ต้องหาปาลูกระเบิดแบบ RGD 5 ใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ที่ ถ.บรรทัดทอง และบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลบหนีไปประเทศกัมพูชาทางด่านอรัญประเทศ ขับรถยนต์นำพวกไปปาระเบิดแบบ RGD 5 ใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. อ.แกลง จ.ระยอง และส่งมอบเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ให้ซึ่งต่อมาพวก เอาไปก่อเหตุหลายท้องที่ เช่น ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริ แยกราชประสงค์เป็นต้น และยังเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอีกหลายครั้ง โดยข้อเท็จจริงดังกล่าวยาก ที่พนักงานสอบสวนจะแต่งขึ้นเพื่อปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 2 ให้ได้รับโทษทางอาญาได้ 

จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 288 , 289(4) , 358 , 371 , 376 พ.ร.บ.อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรค , 38 วรรคหนึ่ง , 72 ทวิ วรรคสอง , 78 วรรคหนึ่ง วรรคสาม และ พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ ฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง , 42 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่งจำคุกคนละ 12 ปี , จำคุกคนละ 3 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง , ฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต

แต่จำเลยทั้งสอง ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุลดโทษให้ คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 43 ปี 4 เดือน และให้ริบของกลาง 

ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ จากโทษของจำเลยทั้งสอง ในคดีอาญาหมายเลขดำ อ.4334/2557 ของศาลอาญานั้น ยังไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาแล้ว จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ของโจทก์ 

ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสองก็ถูกนำตัวไปคุมขังยังเรือนจำต่อ ขณะที่วันนี้มีญาติ จำเลย 2-3 คน มาร่วมฟังคำพิพากษา 

โดยทนายความ ของจำเลย กล่าวด้วยว่า จะใช้ช่องทางตามกฎหมาย เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อ