อสส.คนใหม่ มอบนโยบายยึดหลักถูกต้อง เป็นธรรม

อสส.คนใหม่ มอบนโยบายยึดหลักถูกต้อง เป็นธรรม

อัยการสุงสุดคนใหม่ มอบนโยบายอัยการทั่วประเทศ ชู 2 ปีบริหารงานยึดหลักธรรมาภิบาล ถูกต้อง เป็นธรรม สร้างความมั่นใจให้ประชาชน เชื่อในอิสระอัยการ

ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุดคนที่ 13 ที่เข้ารับตำแหน่งอัยการสูงสุดคนใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ได้แถลงนโยบายการบริหารงานสำนักงานอัยการสูงสุด ระหว่างปี 2558 - 2560 แก่อัยการทั่วประเทศ ผ่านอัยการผู้บริหาร อธิบดีอัยการสำนักงานในส่วนกลางและภูมิภาค และหัวหน้าส่วนปฏิบัติงานที่เข้าร่วมการประชุมวันนี้กว่า 100 คนว่า การดำเนินงานของอัยการจะยึดหลักธรรมาภิบาล(Good governance) เพื่อความเป็นธรรม ความถูกต้อง ความสุจริต มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งเน้นการมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส่และยึดหลักนิติธรรม

โดยนโยบายแบ่งออกเป็น 5 ข้อหลัก ประกอบด้วย 1.นโยบายเพื่อการคุ้มครองสิทธิของประชาชนให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็วและทั่วถึง โดยเฉพาะการพิจารณาสั่งคดีของพนักงานอัยการทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา คดีพิเศษและคดีปกครองให้เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม รวมถึงสร้างหลักประกันให้กับประชาชนและสังคมว่า พนักงานอัยการจะปฏิบัติหน้าและสั่งคดีให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตลอดจนส่งเสริมการระงับข้อพิพาททางเลือก เช่น การไกล่เกลี่ยเพื่อยุติข้อพิพาทด้วยความพึงพอใจทุกฝ่าย

2.นโยบายเพื่อพัฒนาองค์กรอัยการให้สอดคล้องกับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และเพิ่มศักยภาพ ประสิทธิภาพของพนักงานอัยการในการสั่งคดี การปฏิบัติหน้าที่ตามหลักนิติธรรม รัฐธรรมนูญและกฎหมาย ให้พนักงานอัยการมีความเป็นอิสระในการสั่งคดี ซึ่งจะให้มีการออกกฎหมายเพื่อรองรับการสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ของอัยการด้วย และให้อัยการเคร่งครัดพฤติกรรมทางจริยธรรมและจรรยา ความรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการรวมถึงการกระทำผิดวินัย 3.นโยบายต่อหน่วยงานของรัฐ จะเร่งประสานและกระชับความสัมพันธ์ ระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอันหนึ่งเดียวกัน และเพื่อประโยชน์ของทางราชการอัยการจะให้ความช่วยเหลือลักษณะเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ให้หน่วยงานของรัฐทั้งกระทรวง ทบวง กรม รวมถึงการยกร่างกฎหมายเพื่อให้ส่วนราชการ สามารถใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะเป็นการลดปัญหาที่จะนำไปสู่การฟ้องร้องคดีด้วย อีกประการคือการสนับสนุนนโยบายที่สำคัญของรัฐ เช่น การปราบปรามการทุจริต อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์และยาเสพติด

4.นโยบายระหว่างประเทศ ก็จะทำให้เป็นศูนย์กลางกฎหมายของประเทศอาเซียน พร้อมทั้งเป็นแหล่งข้อมูลในศึกษาค้นคว้า เผยแพร่ความรู้ และช่วยเหลือทางกฎหมายให้แก่ประชาชนเพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าว คนเข้าเมือง การลงทุนและการพาณิชย์ พร้อมทั้งขยายความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาโดยเฉพาะประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศไทย เพื่อประโยชน์ในการสอบสวนคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร และส่งเสริมการจัดทำโครงการหรือกิจกรรมเพื่อยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี 5.นโยบายด้านการประชาสัมพันธ์ จะสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาในองค์กรอัยการต่อประชาชน สังคม หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์คดีสำคัญต่างๆ ที่ประชาชนและสังคมให้ความสนใจ

"ทุกคนถือเป็นตัวแทนสำนักงานอัยการสูงสุด จะขับเคลื่อนการบริหารงานต่อไป โดยช่วงระยะเวลา 2 ปีที่จะต้องบริหารงาน ผมในฐานะผู้นำองค์กรจะยึดถือหลักธรรมาภิบาล ที่หมายถึงระบบบริหารจัดการบ้านเมืองที่โดยมีเป้าหมายเพื่อความเป็นธรรม ถูกต้อง สุจริต และความมีประสิทธิภาพประสิทธิผล รวมถึงการมีส่วนร่วม และความโปร่งใส"ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ อัยการสูงสุด กล่าวยืนยัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเข้าดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ก็ได้มอบหมายงานให้รองอัยการสูงสุดรับผิดชอบงานที่สำคัญๆ แต่ละด้าน ดังนี้

นายเข็มชัย ชุติวงศ์ รองอัยการสูงสุดลำดับที่ 1 รับผิดชอบงานด้านบริหารบุคคล สำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย เช่น งานร่างสัญญาและงานตอบข้อหารือที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการ และสำนักงานต่างประเทศ

นายวินัย ดำรงมงคลกุล รองอัยการสูงสุดลำดับที่ 2 รับผิดชอบสำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต สำนักงานคดีค้ามนุษย์ สำนักงานคดีอาญา และสำนักงานคดีอัยการสูงสุด เฉพาะงานรับรองฎีกา นายกิตติ บุศยพลากร รองอัยการสูงสุดลำดับที่ 3 รับผิดชอบสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด สำนักงานคดีศาลสูงและสำนักงานคดีศาลสูงภาค และสำนักงานคดีอัยการสูงสุด น.ส.นิภาพร รุจนรงศ์ รองอัยการสูงสุดลำดับที่ 4 รับผิดชอบงานสำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด สำนักงานคดียาเสพติด และสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว นางนิภา ยิ้มฉาย รองอัยการสูงสุดลำดับที่ 5 รับผิดชอบสำนักงานคดีแพ่ง สำนักงานการยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ นายนิตสิต ระเบียบธรรม รองอัยการสูงสุดลำดับที่ 6 รับผิดชอบงานคดีความมั่นคงในพื้นที่พิเศษชายแดนใต้ สำนักงานวิชาการ และสำนักงานนโยบาย ยุทธศาสตร์และงบประมาณ

โดยนายกิตติ บุศยพลากร รองอัยการสูงสุด กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้หนึ่งในภารกิจสำคัญที่อัยการดำเนินการ คือการเร่งรัดดำเนินคดี ยกตัวอย่างเมื่ออัยการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมแล้วควรติดตามความคืบหน้าการดำเนินการด้วย และกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดตามคำสั่ง ไม่ใช่สั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมแล้วทิ้งงานหรือคอยให้ครบ 15 วันตามระเบียบแล้วค่อยสอบถามเนื่องจากกรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ประสิทธิภาพการทำงานของอัยการสูงสุด ที่อาจถูกมองว่าทำคดีล่าช้า ขณะที่พนักงานงานอัยการมีแนวโน้มเข้าไปร่วมเป็นเป็นพนักงานสอบสวนในคดีสำคัญเพิ่มมากขึ้น เช่น คดีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดังนั้นควรมีบทบาทในการให้คำแนะนำการทำงานโดยเฉพาะสรุปสำนวนคดีสั่งฟ้องให้ทันตามกรอบเวลาฝากขัง 7 ผัด 

ด้าน น.ส.นิภาพร รุจนรงศ์ รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุด มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการเรียกคืนผลประโยชน์ให้กับคืนแก่รัฐ ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่มีการกำชับให้ต้องดำเนินการอย่างเข้มงวดมากขึ้น คือการบังคับโทษปรับในคดียาเสพติด โดยล่าสุดมีการทำหนังสือเวียนไปยังอัยการทั่วประเทศขอให้พนักงานอัยการดำเนินการขอหมายบังคับคดีให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)นำไปใช้ในการยึดและอายัดทรัพย์ผู้กระทำผิคดียาเสพติดตามคำสั่งบังคับโทษปรับ หลังจากพบว่าที่ผ่านมาหลายคดีไม่ได้มีการบังคับใช้โทษปรับ ซึ่งตามกฎหมายโทษปรับมีเป้าหมายเพื่อให้มีการชำระ ไม่ใช่การกักขังเท่านั้น โดยจะมีการผลักดันให้ติดตามผลการใช้โทษปรับกับคดียาเสพติดให้เพิ่มมากขึ้น

ส่วนนางนิภา ยิ้มฉาย รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า ขณะนี้อัยการในแต่ละพื้นที่เริ่มขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในคดีแพ่ง เนื่องจากเดิมจะมีการบังคับให้พนักงานอัยการใหม่ต้องไปประจำอยู่ในสำนักงานคดีแพ่งก่อน 2 ปี แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกไป ทำให้เกิดปัญหาเมื่อต้องรับผิดชอบคดีแพ่งซึ่งต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะที่ต่างจากคดีทั่วไป เพราะคดีแพ่งเป็นคดีที่พนักงานอัยการต้องตั้งต้นคดีใหม่เองทั้งหมด ที่สำคัญระยะหลังมีคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองมากขึ้น เมื่อพนักงานอัยการบางรายต้องมารับผิดชอบคดีดังกล่าวและต้องเจอกับทนายของฝ่ายการเมือง ก็มักมีความไม่มั่นใจในการทำงาน เพราะไม่เคยผ่านการทำงานในสำนักงานคดีแพ่งมาก่อน ซึ่งคดีแพ่งถือเป็นคดีสำคัญเพราะเกี่ยวโยงกับเงินที่รัฐจะได้คืนจากการกระทำผิดในแต่ละคดี