'วินัยสูง' ทางรวยหุ้น 'ทศวรรษ ทองสุข'

'วินัยสูง' ทางรวยหุ้น 'ทศวรรษ ทองสุข'

หยุดใช้เงินซื้อความสุข หนทางสู่ 'อิสระภาพทางการเงิน' ของ 'ทศวรรษ ทองสุข' กรรมการสมาคมวีไอ ย้ำเป้าหมายการลงทุน อยากเห็นพอร์ตหุ้นโตปีละ 26%

'วินัยในการบริหารเงินที่สูงมาก' ของนักลงทุนแนววีไอ 'ทศวรรษ ทองสุข' เจ้าของนามแฝง 'TODTO' ประจำเวปไซด์ THAIVI ในฐานะกรรมการ สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ทำให้ชีวิตเจอกับคำว่า 'อิสระภาพทางการเงิน' เมื่อ 4 ปีก่อน

ก่อน 'ชายวัย 33 ปี' ดีกรีปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ภาคค่ำ) จะเข้าสู่แวดวงนักลงทุน Value Investment และตัดสินใจลาออกจากอาชีพมุนษย์เงินเดือน เมื่อ 3 ปีก่อน หลังนั่งทำงานตำแหน่ง โปรแกรมเมอร์ สำนักข่าวรอยเตอร์ส (ประเทศไทย) มานานหลายปี

เขาเคยใช้เวลาหลังเลิกงานทำธุรกิจเล็กๆ รวดเดียว 2-3 กิจการ เพราะต้องการทดลองวิชาที่เรียนมา เช่น ร้านเช่าเซิร์ฟเวอร์,สร้างเว็บไซต์ และร้านไอศรีม ควบคู่กับการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียม

ผลของการอยากเป็นเถ้าแก่น้อย คือ 'เจ๊งทุกกิจการ' หลังทดลองดำเนินการมาประมาณ 2-3 ปี สาเหตุที่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะ 'ไม่มีประสบการณ์มากพอ' 

'หนุ่มทศ' ควงภรรยาคู่ใจมาถ่ายทอดเส้นทางการลงทุนให้ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' ฟังว่า ฐานะการเงินของครอบครัวไม่ใช่คนร่ำรวย พ่อและแม่ทำงานในวงการรัฐวิสาหกิจหาเงินเลี้ยงลูกสองคน (น้องชายคนเล็กอายุห่างกัน 2 ปี) เมื่อพื้นเพวัยเด็กเป็นเช่นนั้น ทำให้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการทำงานประจำของผมไม่เคยหมดไปกับสินค้าฟุ่มเฟือย

'เงินเดือน 80% ถูกนำไปฝากแบงก์ทุกเดือน เพราะต้องการนำมาลงทุนทำธุรกิจเป็นของตัวเอง' 

ธุรกิจที่ทำให้ขาดทุนหนัก คือ 'ธุรกิจร้านไอศรีม' ที่ลงทุนร่วมกับเพื่อน จากทุน 5 แสนบาท เหลือกลับมาแค่ 5 หมื่นบาท ส่วนตัวยอมรับว่า ธุรกิจนี้มีปัญหารอให้ตามแก้ไขมากมาย โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับพนังงาน เมื่อยิ่งทำยิ่งกำไรหด สุดท้ายต้องยอมขายซาก แบ่งเงินแยกย้ายทางใครทางมัน

เขา เล่าต่อว่า การซื้อคอนโดมิเนียมในนิคมอุตสหกรรมแห่งหนึ่งจำนวน 3 ห้อง มูลค่า 4 ล้านบาท มาปล่อยเช่าในอดีต ถือเป็นการลงทุนครั้งแรกในชีวิต ด้วยความที่พึ่งพาการหาลูกค้าจากเจ้าของที่ดินร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้การลงทุนในครานั้นไม่ประสบความสำเร็จ ความผิดพลาดครั้งนั้น ทำให้ได้รับผล 'ขาดทุนกว่า 2 ล้านบาท' 

ตามแผนตั้งใจจะปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมให้กับลูกค้าต่างชาติ ตามคำแนะนำของเจ้าของที่ดิน และจะกินค่าเช่าเฉลี่ย 0.9% ต่อเดือนของมูลค่าสินทรัพย์ โดยจะนำค่าเช่ามาชำระหนี้ เพราะกู้เงินจากสถาบันการเงินมาซื้อคอนโดมมิเนียม 'ร้อยเปอร์เซ็นต์' และเมื่อเวลาผ่านไป 3-4 ปี ก็จะขายห้อง เพื่อกินส่วนต่าง ตอนนั้นวาดฝันเช่นนั้น (หัวเราะ)

แต่ผลปรากฎว่า คนเช่าคอนโดมิเนียมไม่ได้มีจำนวนมากมายอย่างที่คิด ที่สำคัญการปล่อยให้เจ้าของที่ดินจัดหาลูกค้าให้ทั้งหมด ถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การลงทุนในคอนโดมิเนียมไม่ประสบความสำเร็จ หลังลงทุนมานาน 6-7 ปี

บทเรียนครานั้นสอนว่า 'อย่านำพาตัวเองไปยืนอยู่ในจุดที่เสียเปรียบ' เพราะหาก เราตัดสินใจหาลูกค้าเอง ก็คงไม่ขาดทุนหนักเช่นนี้ ผมเพิ่งปิดดีลขาดทุนไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

'นักลงทุนวีไอ' บอกว่า หลังเจ็บหนักจากการลงทุนไม่นาน ตัดสินใจเดินตามคำสอนใน หนังสือ 'พ่อรวยสอนลูก' หรือ Rich Dad Poor Dad ของ 'โรเบิร์ต คิโยซากิ' ที่สอนเกี่ยวกับเงิน 4 ด้าน คือ ด้านลูกจ้าง,ด้านเจ้าของธุรกิจ,ด้านทำธุรกิจส่วนตัว และด้านนักลงทุน ซึ่งในชีวิตเคยทดลองทำมาแล้ว 3 ด้าน ยกเว้น 'ด้านนักลงทุน' 

ผมใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่นาน สิ่งหนึ่งที่ได้กลับมา คือ มีมุมมองและความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นกว้างมากขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับมุมมองของผู้เป็นพ่อและแม่ที่ไม่ค่อยเปิดรับเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก

สุดท้ายตัดสินใจศึกษาข้อมูลเพียงหนึ่งสัปดาห์ ก่อนทุ่มเงินลงทุนก้อนสุดท้ายของชีวิต 'หลักล้านบาท' เมื่อ 4 ปีก่อน เพื่อลงทุนในตลาดหุ้น หลังได้ยินประโยคพลิกชีวิตของเพื่อนคนหนึ่งที่กล่าวว่า 'เล่นหุ้นแล้วได้กำไรกลับมาจำนวนมาก' 

เจ้าของนามแฝง 'TODTO' บอกว่า สไตล์การเล่นหุ้นของผมชัดเจนมาตั้งแต่ต้น โดยจะเลือกลงทุนเฉพาะ 'หุ้นเกรด A' ที่มีราคาไม่แพงเท่านั้น ซึ่งหุ้นลักษณะนั้นต้องมีคุณสมบัติหลักๆ 2 ข้อ นั่นคือ

ข้อแรก รายได้เติบโตโดยที่เจ้าของไม่ต้องทำอะไรเลย พูดง่ายๆ คือ ผลประกอบการขยายตัวอัตโนมัติ ส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจสนามบิน และธุรกิจอินเตอร์เน็ต เป็นต้นข้อสอง แนวโน้มต้นทุนมีโอกาสลดลงหรือคงที่ ขณะที่บริษัทสามารถขึ้นราคาขายได้ แต่จำนวนสั่งซื้อไม่ได้ลดลง

หากมีโอกาสเจอหุ้นลักษณะนี้ เราจะ 'อัดเงิน 50% ของพอร์ต' แต่ปัจจุบันหาหุ้นลักษณะนี้ยากมาก ส่วนใหญ่เจอแต่เกรดลองลงมา อย่างหุ้นในพอร์ตที่มีอยู่ ก็แค่เกรด B นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมามีนักลงทุนรุ่นใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นค่อนข้างมาก ทำให้ราคาหุ้นหลายตัวถูกรับรู้ไปแล้วค่อนข้างมาก 'ตอนนี้กำลังตามหาหุ้นที่ในอนาคตจะมี 'กำไรโต 2 เท่า ราคาหุ้นโต 2 เท่า' แต่หากยากเหลือเกิน' (หัวะเราะ) 

เมื่อถามถึงวิธีดูงบการเงิน 'หนุ่มทศ' ตอบว่า หุ้นแต่ละตัวย่อมมีวิธีสำรวจแตกต่างกัน เพราะทำธุรกิจไม่เหมือนกัน แต่หากเราจับประเด็นได้ถูกก็จะสามารถลดเวลาในการลงทุนได้อย่างมาก เช่น ธุรกิจการเงิน ต้องดูลูกหนี้เป็นหลัก หรือหากเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงงานต้องดูอัตรากำไรสุทธิ สินทรัพย์ และค่าเสื่อม หรือธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์ในการลงทุนเป็นหลัก เช่น โรงแรม ต้องดูอัตราการการใช้สินทรพย์ และค่าเสื่อม เป็นต้น

ยกตัวอย่าง หุ้น กรุ๊ปลีส หรือ GL ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้เติบโตตลอด แต่บริษัทมีการตั้งหนี้สงสัยจะสูญในอัตราที่สูงมาก ฉะนั้นหากบริษัทสามารถลดส่วนนี้ได้จะทำให้กำไรเติบโตหลายเท่าตัว

หุ้น ซีพี ออลล์ หรือ CPALL ปัจจุบันต้องแบกภาระหนี้จากการซื้อหุ้น สยามแม็คโคร หรือ MAKRO จำนวนมาก ดังนั้นหากหนี้หายไปรับรองกำไรจะโตเป็นเท่าตัว แต่ถ้าระหว่างที่มีหนี้มหาศาล แต่ CPALL สามารถขึ้นยอดขายในแต่ละสาขาได้กำไร ก็จะโตเป็นเท่าตัวเช่นกัน ซึ่งหุ้นลักษณะนี้ในฐานะนักลงทุนวีไอต้องออกตามหาต่อไป

'ไม่ชอบเล่นหุ้นตามข่าวผลประกอบการเติบโต เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ที่สำคัญนักลงทุนคนไหนก็ดูออก เท่ากับว่า ราคาหุ้นจะวิ่งไปไกลแล้ว'

หุ้นตัวแรกในชีวิตการลงทุนคือบริษัทใด? เขา ตอบว่าหุ้น จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS แม้จะไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ก็ยอมทุ่มเงินหลักล้าน ในปี 2552 เพื่อซื้อหุ้นตัวนี้เพียงตัวเดียว ในราคา 2 บาท เพราะตอนนั้นหุ้น JAS ถือเป็นตัวที่เข้าคอนเซ็ปต์ หุ้นเกรด A มากที่สุด

'ด้วยความที่มีความคิดว่า ซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน เมื่อหุ้น JAS ทะยานขึ้นไป 4 บาท เลยไม่ยอมขาย แต่มาปล่อยออกตอน 2.20 บาท ของดีขายกันกี่บาท ตอนนั้นยังไม่เข้าใจตรรกะนี้' 

นับตั้งแต่ลงทุนในตลาดหุ้นจนถึงวันนี้ พอร์ตลงทุนขยายตัวเรื่อยๆ ถือว่าเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า ในอนาคตอยากเห็น 'พอร์ตโตปีละ 26%' ซึ่งเป้าหมายนี้ ผมทำตามความเห็นของนักลงทุนรายอื่นๆที่บอกว่า 'หากพอร์ตโต 26% เป็นเวลา 3 ปี เท่ากับพอร์ตจะโต 2 เท่า แต่ถ้า 10 ปี เท่ากับโต 10 เท่า'

'ที่ผ่านมาพอร์ตเติบโตเกินเป้าหมายตลอด เพราะตลาดหุ้นอยู่ในภาวะที่ดี โดยปกติจะปรับพอร์ตทุกๆหนึ่งปี ตัวไหนดีก็จะสลับตัวไม่ดีออกไป นั่นหมายความว่า เราต้องประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนเปรียบเทียบกัน คนประเมินเก่งย่อมประสบความสำเร็จ' 

เขา บอกว่า หลักคิดการลงทุนที่ทำให้เราได้เปรียบนักลงทุนรายอื่นมีด้วยกัน 3 ข้อ คือ 1.เงินต้นต้องเยอะ เพราะการมีเงินต้นจำนวนมาก ย่อมหมายความว่า จะมีกำไรมากกว่าคนต้นทุนน้อย 2.ความรู้ต้องมีมากๆ 3.ช่วงเวลาในการลงทุนต้องยาวนาน

ข้อได้เปรียบข้อแรก ผมใช้เวลาในการเก็บออมเงินค่อนข้างนาน เพราะเรารู้ว่าเงินต้นสำคัญมาก ผมจะไม่นำเงินต้นไปซื้อไอโฟน หรือไปเที่ยวเล่น ทุกวันนี้แม้จะมีอิสระภาพทางการเงินแล้ว แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปต์นี้อยู่เหมือนเดิม รถก็ยังใช้คันเล็กๆ ไม่อยากเปลี่ยนใหม่ เพราะไม่ต้องการให้ใครมาคาดหวัง หรือหาผลประโยชน์จากเรา

'หนุ่มทศ' เล่าว่า ปัจจุบันมีหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 7-8 ตัว เช่น กลุ่มพลังงานทดแทน กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น คุณสมบัติของหุ้นที่อยู่ในพอร์ต คือ กำไรโตสม่ำเสมอทุกปี ซึ่งระยะเวลาการลงทุนของหุ้นแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน

'ผมจะไม่ดูอดีต เพื่อวิเคราะห์อนาคต แต่จะดูอนาคต เพื่อจะได้เห็นถึงกลไกของกิจการ ที่สำคัญจะไม่สนใจว่า ต้องขายหุ้นตัวนั้นขาดทุน หากพิจารณาแล้วพบว่า ธุรกิจเดินมาผิดทาง ขาดทุนก็ต้องขาย'

ส่วนตัวมีความเชื่อที่ว่า การลงทุนที่ดีควรดูกราฟให้เป็น แต่ในอดีตเคยทดลองแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ฉะนั้นเมื่อไม่มีความเชื่อเรื่องเทคนิค ก็คงไม่ลงทุนแนวนี้อีก แต่จะขอยึดหลักวีไอต่อไป แต่จะเป็นวีไอที่เล่นกับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทกำลังจะมีกำไรเติบโตเร็ว เพราะเทคนิคนี้ทำให้พอร์ตของผมขยายตัวรวดเร็วมาก แต่ไม่ขอบอกว่า วันนี้พอร์ตอยู่ในหลักเท่าไหร่..

วางเป้าหมายการลงทุนในอนาคตอย่างไร? ทุกวันนี้ชีวิตการลงทุนก็เกินเป้าหมายมามากแล้ว ฉะนั้นขอใช้เวลาส่วนใหญ่ในการช่วยเหลือสังคม ด้วยการนำความรู้เรื่องการบริหารเงินที่ได้รับมาบอกต่อ เพราะการรลงทุนในตลาดหุ้นสามารถพลิกชีวิตของผมได้ ดังนั้นย่อมสามารถเปลี่ยนชีวิตคนอื่นได้เช่นกัน

ที่ผ่านมาเห็นนักลงทุนหน้าใหม่ลาออกจากงานประจำ หลังมีเงินเก็บแค่ 1 ล้านบาท ตรรกะนี้ไม่ได้บอกว่า ผิดหรือถูก แต่อยากบอกว่า 'คุณกำลังเสียเปรียบ' เหตุผลเพราะคนจะมีอิสระภาพทางการเงินได้ควรจะต้องมีพอร์ตลงทุนอย่างน้อย 200-400 เท่า ของเงินที่เราจะใช้หรือเงินที่เราอยากได้รายเดือน (คำนวณจากดัชนี 1,600 จุด)

แต่ถ้าตลาดหุ้นต่ำๆ เช่นนี้อาจต้องมีพอร์ตลงทุนประมาณ 300 เท่า เนื่องจากหุ้นหลายๆตัวในตลาดหลักทรัพย์จะมีผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 3-6% นั่นหมายความว่า หากคุณมีพอร์ตไม่สูงย่อมได้เงินปันผลต่ำกว่าคนเงินต้นสูงๆ เขาย้ำ

เขา บอกว่า ในอนาคตอยากถือหุ้นในพอร์ตแค่ 3-4 ตัว แต่ถ้ายังหาของดีไม่ได้ ก็คงต้องถือเหมือนในปัจจุบันไปก่อน ด้วยความที่หุ้นไทยไม่ค่อยตรงสเป็กแล้ว ทำให้วันนี้มีแผนจะกระจายความเสี่ยงการลงทุนออกไปในตลาดต่างประเทศ

ปัจจุบันกำลังดูตลาดหุ้นเวียดนามและตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา อย่างตลาดหุ้นเวียดนามหุ้นหลายตัวมีราคาถูก แต่ปัจจัยเชิงคุณภาพยังไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ที่ผ่านมามีโอกาสพานักลงทุนวีไอไปเยี่ยมชมกิจการบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นเวียดนามประมาณ 15 บริษัท

เช่น บริษัท Vinamilk ผู้ผลิตและจำหน่ายนมในประเทศเวียดนาม ซึ่งธุรกิจดูดี แต่สัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติเต็ม 50% แล้ว ทั้งนี้ข้อเสียของการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม คือ ผู้บริหารบ้างบริษัทพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ทำให้การพูดคุยล่าช้า

หน้าที่ของกรรมการสมาคมวีไอ คือ 'หาหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุน' 

'เมื่อก่อนผมมักบอกภรรยาเสมอว่า เราต้องเก็บเงินให้ได้มากๆ แต่วันนี้ผมบอกคู่ชีวิตว่า เงินที่กั้นไว้ซื้อของเล่น มีเท่าไรต้องใช้ให้หมด เพราะเงินของผมมักงอกเงยใหม่ทุกปี นั่นเป็นเพราะเรามีระบบการบริหารเงินที่ดีตั้งแต่ต้น' นักลงทุนหนุ่ม กล่าวทิ้งท้าย