SAMART - ซื้อ

SAMART - ซื้อ

จัดโรดโชว์ในประเทศบ่งบอกแนวโน้มปีหน้าสดใส

ประเด็นการลงทุน

เราจัดโรดโชว์ในประเทศร่วมกับผู้บริหารของ SAMART เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบรับจากการจัดโรดโชว์ในครั้งนี้โดยภาพรวมเป็นไปในเชิงบวก โดยคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/58 มีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อย ก่อนที่จะฟื้นตัวแรงในปี 2559 โดยมีปัจจัยหนุนจากการเซ็นสัญญางานโครงการใหม่ขนาดใหญ่ของบริษัทย่อยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/58 เป็นต้นไป เราเชื่อว่าราคาหุ้นและผลประกอบการของ SAMART ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 อัพไซด์ในอนาคตจะมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่คาดว่าจะได้รับการคัดเลือกในโครงการจำนวน 20-30 เมกะวัตต์ รวมถึงงานโครงการติดตั้งระบบสายเคเบิ้ลลงใต้ดินเฟสแรกของกฟน.มูลค่า 2.5 พันล้านบาท เราคาดว่าราคาหุ้น SAMART มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นและกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่มีการประกาศเซ็นเอ็มโอยูอัตราค่าไฟฟ้ากับกฟผ. สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินในกัมพูชา และการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าขยะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันถือว่ายังคงถูก โดยซื้อขายกันที่ระดับอัตราส่วน PER ปี 2559 ที่ 14.5 เท่า เทียบกับอัตราส่วน PER ที่เคยซื้อขายสูงสุดที่ 19.9 เท่าซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่มีข่าวโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กัมพูชาในช่วงกลางปี 2556 เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ หุ้น SAMART

มูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้ของ SAMTEL ณ สิ้นปี 2558 สูงสุดในรอบ 4 ปี

เราคาดมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้ (project backlog) ของ SAMTEL มีแนวโน้มแตะ 1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 หรือเพิ่มขึ้น 45% YoY ซึ่งถือว่าเป็นสถิติใหม่สูงสุดในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา เราคาดการณ์อย่างอนุรักษ์นิยมว่า SAMTEL มีแนวโน้มเซ็นสัญญางานโครงการใหม่มูลค่ารวม 8-9 พันล้านบาทในปี 2559 ได้แก่ งานโครงการติดตั้งสายไฟเบอร์ทั่วประเทศของการรถไฟแห่งประเทศไทย (มูลค่า 1 พันล้านบาท) งานโครงการพอร์ทัลเน็ตส่วนต่อขยายของกฟภ. (มูลค่า 4 พันล้านบาท) งานโครงการระบบรักษาความปลอดภัยของกทม. (มูลค่า 1 พันล้านบาท) งานโครงการระบบข้อมูลที่ดินออนไลน์เฟสสามของกรมที่ดิน (มูลค่า 1 พันล้านบาท) และงานโครงการอื่นๆ (มูลค่า 700 ล้านบาท)

อัพไซต์จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คิดเป็น 3-5% ต่อกำไรสุทธิในปี 2559

สามารถยูทรานส์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SAMART จะทำการยื่นคำขอขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 8 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นจำนวน 40 เมกะวัตต์กับกฟผ.ในเดือนพ.ย.นี้ โดยจะมีการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกในเดือนธ.ค. และจะทำการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในช่วงไตรมาส 1/59 ภายใต้สมมติฐานของเราได้แก่ รายได้ต่อเมกะวัตต์และกำไรต่อเมกะวัตต์ที่ 8 ล้านบาทและ 3.3 ล้านบาทตามลำดับ รวมถึงบริษัทได้รับเลือกในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 20-30 เมกะวัตต์และราคาค่าไฟที่รับซื้ออยู่ที่ 5.66 บาทต่อกิโลวัตต์ชม. เราประเมินว่าจะเพิ่มกำไรสุทธิปี 2560 ของ SAMART ได้อีก 53-79 ล้านบาท (หรือเพิ่มขึ้นอีก 3.1-4.5%) ทั้งนี้เรายังคงไม่ได้รวมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาในประมาณการ ณ ปัจจุบันของเราแต่อย่างใด

โรงไฟฟ้าขยะจำนวน 5 แห่งอยู่ในการประมาณการของเราแล้ว

สามารถยูทรานส์จะทำการยื่นคำขอขายและผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขยะจำนวน 5 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นจำนวน 40 เมกะวัตต์กับกฟผ.ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 ซึ่งบริษัทได้ทำการเซ็นเอ็มโอยูกับองค์การบริหารส่วนตำบลไปแล้วทั้งหมด 5 จังหวัด ภายใต้สมมติฐานรายได้ต่อเมกะวัตต์และกำไรต่อเมกะวัตต์ที่ 38 ล้านบาทและ 14 ล้านบาทตามลำดับ รวมถึงบริษัทได้รับเลือกในโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมด 40 เมกะวัตต์ และราคาค่าไฟที่รับซื้ออยู่ที่ 5.78 บาทต่อกิโลวัตต์ชม.ในช่วงระยะเวลา 8 ปีแรกที่ดำเนินการ เราประเมินว่าโรงไฟฟ้าขยะทั้ง 5 แห่งจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิปี 2561 ให้กับ SAMART ได้เท่ากับ 571 ล้านบาท (หรือเพิ่มขึ้นอีก 26.2%) เราได้ทำการคำนวณรวมมูลค่าเพิ่มจากโรงไฟฟ้าขยะทั้ง 5 แห่งเข้าไปในประมาณการของเราแล้ว

TEDA จะมีอัพไซด์จากงานติดตั้งสายเคเบิ้ลลงใต้ดินของกฟน.

กฟน.มีแผนที่จะติดตั้งสายเคเบิ้ลลงใต้ดินเพื่อที่จะมาแทนที่สายเคเบิ้ลที่พาดอยู่ในอากาศ โดยจะเริ่มต้นจากเฟสแรกซึ่งมีระยะเวลา 2 ปีและมีมูลค่า 2.5 พันล้านบาทสำหรับบริเวณถนนนนทรีพระราม 3 TEDA จะเข้าร่วมประมูลกับบริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการสำหรับงานโครงการดังกล่าว เราคาดกำไรสุทธิของงานโครงการดังกล่าวที่มีต่อ SAMART คิดเป็น 50-60 ล้านบาทต่อปี (ภายใต้สมมติฐานอัตรากำไรสุทธิที่ 5-6%) หรือส่งผลให้กำไรสุทธิของ SAMART เพิ่มขึ้นได้อีก 3-4%