Daily Market Outlook (7 ต.ค.58)

Daily Market Outlook (7 ต.ค.58)

มีลุ้นนโยบายผ่อนคลาย-มาตรการกระตุ้น

คาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นวันนี้ ด้วยมีลุ้นนโยบายการเงินผ่อนคลายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมทั้งที่ออกมาแล้วด้วย ในต่างประเทศ และภายในประเทศ ภายในประเทศมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกรจากภาวะภัยแล้ง ที่ครม.เพิ่งไฟเขียวเมื่อวาน และมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังจะออกมาล้วนหนุนตลาด ในต่างประเทศมีลุ้น ECB และ BOJ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีก นอกเหนือไปจากล่าสุดที่คาด Fed จะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยไปก่อน


หุ้นเด่นวันนี้: UNIQ(Bt21.10; NR; 15TP IAA Bt23.00)

บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ยูนีค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่จะได้ประโยชน์จากการเร่งตัวของอุปสงค์การก่อสร้างจากการที่รัฐบาลเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐขนาดใหญ่ อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีงบประมาณ 2016 ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา UNIQ มีส่วนในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการอยู่แล้วจากรถใต้ดินไปจนถึงทางหลวงหลายสาย จึงยิ่งมีโอกาสเหนือคู่แข่งอื่นๆ ที่จะชนะการประมูลในโครงการใหม่ๆเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ UNIQ กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี ดร.สมคิด ถือเป็นโครงการที่ต้องเร่งให้เดินหน้าอย่างเร็วที่สุดในขณะนี้ในไตรมาสที่ 2 รายรับของบริษัทขยายตัว 22% YoY ในขณะที่กำไรสุทธิพุ่งขึ้นถึง 80.6%YoY จากการสำรวจการคาดประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์โดย Bloomberg เฉลี่ยแล้วมองว่า EPS จะขยายตัว 29% ปีนี้ และอีก 25.9% ในปี 2016 แม้ PE ปีนี้จะอยู่ในระดับค่อนข้างสูง คือ 27.8 เท่า แต่อัตราส่วน PEG ยังอยู่ที่ 0.96 เท่า ในทางเทคนิคอลได้เกิดสัญญาณซื้อทั้งในรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว บ่งชี้ความแข็งแกร่งของการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น เมื่อวาน UNIQ ปิดที่ 21.10 ซึ่งเป็นราคาปิดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่บริษัทเข้าซื้อขายใน ตลท. ตั้งแต่ปี 2007 หลังจากหุ้นขึ้นมาอยู่เหนือระดับราคา 20.30 ได้ทำให้หุ้น UNIQ น่าจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 25.50 บาทได้ (แนวต้าน: 20.30, 19.40, 18.50; แนวรับ: 22.00, 22.90, 23.80)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• แบงค์ชาติปลอบกังวลเรื่อง TPPโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในวันอังคารว่าความสามารถในการแข่งขันของไทยไม่น่ากระทบมากจาก TPP เนื่องจากไทยได้อยู่ในข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศเกือบทั้งหมดใน TPP อยู่แล้ว ยกเว้นสหรัฐและเม็กซิโก และประเทศไทยน่าจะยิ่งได้ประโยชน์จากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐที่ลดลง รวมถึงการเพิ่มขึ้นโดยรวมของการส่งออกของภูมิภาค (Bangkok Post)

• นักท่องเที่ยวจีนพุ่งช่วง Golden Weekวันหยุดแห่งชาติของจีนที่เรียกว่า Golden Week ผลักดันนักท่องเที่ยวจีนมาพักผ่อนที่ไทยมากขึ้นราว 30% เทียบปีก่อน โดยผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบินสุวรรณภูมิแตะ 17,096 คนต่อวัน (Bangkok Post).

• ผู้พัฒนาอสังหาเตรียมพร้อมสิ่งที่ต้องทำ ตามที่ รมว. กระทรวงการคลังกล่าวว่าเขายังไม่ได้ส่งแผนกระตุ้นตลาดอสังหาให้ ครม. อนุมัตินั้น ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาได้เตรียมออกโปรโมรชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงที่เหลือของปี 58 (The Nation)

• มาตรการบรรเทาภัยแล้ง ครม. ได้อนุมัติเม็ดเงินเพิ่มเติม 4.7 พันลบ. จากงบกลางเพื่อช่วยสนับสนุน 8 มาตรการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการรับมือปัญหาภัยแล้งปีนี้และปีหน้าซึ่งรวมมาตรการสร้างงานให้แก่ชาวนาด้วย(The Nation)

• SIRI (1.76 บ.) ได้เข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 50% ของทุนจดทะเบียนของบริษัท นูโวไลน์ เอเจนซี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BTS ประกอบธุรกิจถือครองที่ดินและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในราคาซื้อขาย 796 ลบ. รายงานดังกล่าวเป็นการให้นูโวไลน์ เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SIRI และ BTS ตามข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ(SET)ความเห็น:BTS (9.80 บ.,AWS TP 11.30 บ.) น่าจะบันทึกกำไรพิเศษบางส่วนจากธุรกรรมดังกล่าว

• SPALI(18.70 บ,) ลดเป้า Presales ปีนี้ลงเหลือ 2.1 หมื่นลบ. จากเป้าเดิมที่ 2.3 หมื่นลบ. โดยมีสาเหตุจากความต้องการคอนโดมิเนียมที่ซบเซามากกว่าคาดในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ทั้งปีไว้ที่ 2.2 หมื่นลบ. หนุนจาก Backlog ในมือมูลค่ารวม 3.8 หมื่นล้านบาท ที่จะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังราว 1.14 หมื่นลบ. ทั้งนี้ยอด Presales ช่วง 9 เดือนแรกของ SPALI อยู่ที่ 1.5 หมื่นลบ. ขณะที่รับรู้รายได้ไปแล้วในช่วง 1H58 จำนวน 1.02 หมื่นลบ. (The Nation)

• THCOM(31.25 บาท ราคาเป้าหมาย 58.00 บาท) ยื่นขอใบอนุญาตสำหรับดาวเทียมบรอดแบนด์ ไทยคม 9 จาก กสทช. แหล่งข่าวจาก กสทช.กล่าว โดยโครงการพัฒนาดาวเทียมดวงนี้น่าจะใช้เงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.2 พัน ลบ.) โดยจะมีความจุ 10 กิกะไบต์ โคจรในตำแหน่ง 119.5 องศาตะวันออกครอบคลุมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิครวมถึงไทย

ต่างประเทศ:

• ไอเอ็มเอฟปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลกเมื่อวันอังคาร อ้างถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนตัวลงและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะโต 3.1% ในปีนี้ และเติบโตประมาณ 3.6% ในปี 2559 ต่ำกว่าประมาณการก่อนหน้าในเดือนก.ค. ที่ 3.3% และ 3.8% ในกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะโตขึ้น 2.6% ในปี 2558 และ 2.8% ในปี 2559 ในแถบยุโรปคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.5% และ 1.6% ในปี 2558 และ 2559 ตามลำดับ ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นคาดว่าจะขยายตัว 0.6% และ 1.0% ไอเอ็มเอฟมองว่าเศรษฐกิจจีนเติบโตลดลงอยู่ที่ 6.8% ในปีนี้และ 6.3% ในปี 2559 สิ่งที่มีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากที่สุดคือเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาหรือเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging economies) ซึ่งไอเอ็มเอฟได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 4% ในปี 2558 (จาก 4.2%) เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดิ่งลงอย่างหนัก ไอเอ็มเอฟยังได้เตือนไม่ให้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนเวลาอันเหมาะสม (Reuters)

• TPP ได้รับคำชมเล็กน้อย มีปฏิกิริยาต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่าประเทศรอบมหาสมทุรแปซิฟิกเมื่อวันจันทร์ว่าอาจจะเป็นเรื่องที่แย่ลงหากสหรัฐเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ข้อตกลงทางการค้า TPP มีจุดมุ่งหมายที่จะเปิดการค้าเสรีระหว่างประเทศ 12 ประเทศซึ่งคิดเป็น 40% ของเศรษฐกิจโลก แต่ยังต้องได้การรับรองจากแต่ละประเทศ (Reuters)

• องค์การนาโต้ไม่ยอมรับคำอธิบายจากรัสเซียเมื่อวันอังคาร ว่าเครื่องบินรบได้ละเมิดน่านฟ้าของตุรกีซึ่งเป็นประเทศสมาชิกพันธมิตรโดยบังเอิญและกล่าวว่ารัสเซียกำลังส่งกองกำลังเข้าไปในซีเรียและกำลังสร้างกองกำลังทหารทางเรือ หากรัสเซียยังคงโจมตีทางอากาศต่อไป รัฐบาลตุรกีกล่าวว่ารัฐบาลกำลังหมดความอดทนกับการละเมิดน่านฟ้าของรัสเซีย เหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงในการยกระดับในการเกิดสงครามกลางเมืองในซีเรียมากขึ้น (Reuters)

• มีความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ราคาพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันอังคารจากความกังวลที่กลับมาใหม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงหนุนให้มีความต้องการสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 6/32 และให้อัตราผลตอบแทนเท่ากับ 2.035% ลดลง 0.02% จากเมื่อวันจันทร์ ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปี 14/32 และให้อัตราผลตอบแทนเท่ากับ 2.876% ลดลง 0.02% จากเมื่อวันจันทร์ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีหุ้นในตลาดวอลล์สตรีทปรับตัวลดลงเมื่อวันอังคาร สิ้นสุดการขึ้นติดต่อกัน 5 วัน เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจไปที่รายงานผลประกอบการรายไตรมาสซึ่งคาดว่าบริษัทใหญ่ ๆ จะมีกำไรลดลง ประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกของไอเอ็มเอฟที่ลดลงและการขาดดุลการค้าที่มากขึ้นของสหรัฐเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น คาดว่าบริษัทที่ถูกใช้ในการคำนวณดัชนี S&P500 จะมีผลกำไรลดลง 4.2% สำหรับรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 6 ปี จากข้อมูลของทอมสัน รอยเตอร์ส (Reuters)

• สหรัฐขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นในเดือนส.ค. ปริมาณการส่งออกสหรัฐได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอในเดือนส.ค. และมีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 3% ซึ่งเติมเชื้อให้กับการขาดดุลการค้าสหรัฐมากที่สุดในรอบ 5 เดือน ยอดส่งออกลดลง 2% ต่ำสุดนับแต่เดือนต.ค. 55 ยอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 15.6% อยู่ที่ 4.83 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. สูงกว่าประมาณการจากนักเศรษฐศาสตร์ว่าจะขาดดุลเท่ากับ 4.74 หมื่นล้านดอลลาร์ ยอดส่งออกที่ลดลงโดยหลักมาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และความต้องการจากต่างประเทศที่ลดลง (Reuters)

ยุโรป:

• หุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร นำโดยหุ้นยานยนต์ และน้ำมัน โดยที่นักลงทุนคาดว่า ทั้ง ECB และ Fed จะยังคงยโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป(Reuters)

• คำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมเยอรมันร่วง 1.8% ในเดือน ส.ค. โดยส่วนใหญ่เกิดจากอุปสงค์ จากประเทศนอกกลุ่มยูโรโซนที่อ่อนแอลง คำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมเยอรมันลดลง 2.2% ในเดือน ก.ค. นักเศรษฐศาสตร์คาดตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือน ส.ค. ตัวเลขคำสั่งซื้อที่อ่อนแอนี้ช่วยตอกย้ำมุมมองที่ว่า ECB จะยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินอย่างยิ่งยวดต่อไป หรือเพิ่มขึ้น (Reuters)

เอเชีย:

• อาจมีเซอร์ไพรส์จากที่ประชุม BOJ สำหรับการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่มมากขึ้นในวันนี้ มากกว่าที่จะรอมติที่ประชุมอีกครั้งในวันที่ 30 ต.ค. เนื่องจากเงินเฟ้อปัจจุบันยังคงห่างไกลกับเป้าหมายของ BOJ ซึ่งนำไปสู่ความเป็นไปได้ที่ BOJ จะปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจระยะยาวลง ทั้งนี้ในวันที่ 31 ต.ค. เมื่อปีที่แล้ว BOJ ได้มีการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายขนาดใหญ่ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด และส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง (Reuters)

• ตลาดหุ้นจีน รวมถึงตลาดพันธบัตร ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงปิดทำการซื้อขายในวันนี้เนื่องในวันหยุดแห่งชาติ และจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ทองหนุนโดยค่าดอลลาร์อ่อนค่าทองตลาดจรปรับขึ้น 11.10 ดอลลาร์หรือ 0.98% มาอยู่ที่ 1,146.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หนุนโดยค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าตามตัวเลขสหรัฐที่อ่อนแอคลายความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย (Reuters)

• น้ำมันขึ้นตามคาดการณ์ของ EIAตามรายงานของ EIA ระบุว่าอุปสงค์ต่อน้ำมันจะเติบโตสู่จุดสูงสุดในรอบ 6 ปีในปี 2559 และอุปทานจากนอกกลุ่มโอเปคน่าจะชะลอ NYMEX ขึ้น 2.27 ดอลลาร์หรือ 4.9% ปิดที่ 48.53 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล Brent ปิดบวก 2.67 ดอลลาร์หรือ 5.4% แตะ 51.92 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)