ดอยสุเทพ ไม่เทพก็ไปถึง

ดอยสุเทพ ไม่เทพก็ไปถึง

ใครได้ไปเชียงใหม่ช่วงปีสองปีมานี้คงได้เห็นว่าเดี๋ยวนี้เชียงใหม่ไม่มี Hi-season หรือ Low-season คือมีนักท่องเที่ยวเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี

ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ มีทั้งที่ตามรอยหนังดังที่ปลุกกระแสการท่องเที่ยวไทยอย่างเรื่อง Lost in Thailand หรือแม้แต่กลุ่ม ‘ไท่หมี่’ หรือชาวจีนที่คลั่งไคล้ละครไทย (และดาราไทย) จนเดินทางมาเที่ยวบ้านเรากันยกใหญ่ แน่นอนว่าเชียงใหม่ก็เป็นแบ็คกราวน์ของหนังและละครที่นักท่องเที่ยวจีนอยากมาเยือนมากที่สุด


แม้บรรยากาศเชียงใหม่จะไม่แตกต่างจากช่วงฤดูหนาวเพราะครึกครื้นมาก แต่อากาศในช่วงนี้กลับร้อนจนคนไทยอย่างเราไม่รู้สึกว่าทำไมฉันต้องไปเที่ยวที่นั่นช่วงนี้ด้วยนะ...


แต่คำถามกึ่งประชดประชันนั้นมีคำตอบ ก็เพราะที่เชียงใหม่มีอะไรต่อมิอะไรที่น่าสนใจไงล่ะ! มีทั้งความทันสมัยแบบเมือง มีธรรมชาติอย่างชนบท มีร้านอาหารอร่อยๆ มีประวัติศาสตร์น่าศึกษา มีวัดวาและบ้านเรือนสวยเก๋ (บางคนบอกมีหมีแพนด้าด้วยนะเออ) ทีนี้เชื่อหรือยังว่าเชียงใหม่มีของ


ประจวบเหมาะกับได้ขึ้นไปทำงานที่เชียงใหม่ คนหลังอานอย่างเรามีหรือจะไม่เอาจักรยานไปด้วย แต่ด้วยความที่ต้องย้ายโรงแรมและสัมภาระอื่นก็เต็มไปหมด จักรยานพับได้ (Folding Bike) จึงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลย เพราะคงได้ปั่นเที่ยวชิลๆ ในเมืองเชียงใหม่ จักรยานสายมุ้งมิ้งแบบนี้เหมาะนักแล


แต่โลกนี้โหดร้ายกว่าที่คิด...เพราะทริปเชียงใหม่คราวนี้แทบไม่มีเส้นทางชิลในเมือง กลับเป็นความท้าทายที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาตรงหน้าตอนที่ตั้งคำถามขำๆ ในเว็บบอร์ดชื่อดังแห่งหนึ่งว่า “เอารถพับมาเชียงใหม่ ปั่นไหนดี?”


หลายคำตอบมีชื่อ ‘ดอยสุเทพ’ รวมอยู่ในนั้น บางทีคนตอบกระทู้อาจลืมอ่านไปว่า ‘เอารถพับมา’


ก็รถพับหรือจักรยานพับเนี่ยมันถูกออกแบบและสร้างให้เหมาะแก่การปั่นในเมืองอย่างคล่องตัว หรือเพื่อใช้ร่วมกับระบบขนส่งสาธารณะได้สะดวกนี่นา ส่วนการใช้งานหนักๆ อย่างขึ้นเขาลงห้วย แม้จะไม่ใช่ไม่ได้ แต่มันก็ไม่เอื้ออำนวยเลยแม้แต่น้อย


อาจมีหลายคนที่เคยปั่นจักรยานพับขึ้นเขาขึ้นดอยหรือใช้งานโหดมาแล้ว แต่สำหรับมนุษย์ขาอ่อน ตะคริวขึ้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามืออย่างเรา ดูจะเป็นเรื่องหนักเอาการ


เอาอย่างไรดี...


เพื่อไม่ให้ขัดศรัทธาคนตอบกระทู้ และอยากพิชิตสถานที่ชื่อดังของเชียงใหม่ จะลองดูสักตั้ง เช้าของวันสุดท้ายที่อยู่เชียงใหม่ ผมออกจากโรงแรมมุ่งหน้าสู่ตีนดอยสุเทพ ไปถึงก็เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย และที่ขาดไม่ได้เลยคือ สักการะครูบาศรีวิชัย ที่ประดิษฐานอยู่ตรงทางขึ้นดอยสุเทพ


พวงมาลัยดอกดาวเรืองหนึ่งพวง ธูป เทียน ทองคำเปลว (และกระเทียมสำหรับทาเพื่อติดทองคำเปลว) อยู่ในมือ ผมกล่าวคาถาบูชาตามที่ป้ายระบุไว้ ตามด้วยพรข้อสำคัญ “ขอให้ผมปั่นจักรยานขึ้นดอยสุเทพอย่างปลอดภัย”

คนพร้อม ใจพร้อม ไม่แน่ใจว่าจักรยานจะพร้อมไหม แต่มาถึงขั้นนี้แล้วไปกันเลย...!


สองเท้าค่อยๆ กดบันไดจักรยาน ทางในช่วงแรกยังไม่ชันมากนัก แต่คงเป็นเพราะยังกำหนดรอบขาที่เหมาะสมไม่ได้ เพียงแค่สองกิโลเมตรแรกผมต้องจอดจักรยานทันที เพราะความรู้สึกเหมือนหัวใจจะทะเล็ดออกมาเต้นเบรคแด๊นซ์นอกอก ไม่ทันไรสิ่งที่ทะเล็ดออกมาจริงๆ คืออาเจียน แม้ไม่มากมายแต่บ่งบอกแล้วว่าผมอาจจะไม่ไหว


“เรามาทำอะไรตรงนี้ กลับตอนนี้ดีไหมแค่สองกิโลเอง ลงเขาแป๊บเดียวถึง” ผมคิดและถามตัวเองอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า น่าจะนานเป็นสิบนาทีที่ผมกับผมตีกันอยู่ในหัวของผม มันเป็นการตัดสินใจยากมากนะ ไม่ใช่แค่คนที่อาการแย่ แต่รถก็ไม่พร้อมเหมือนชาวบ้านที่กำลังปั่นผ่านไปทีละคันๆ เสือหมอบ เสือภูเขา ทั้งน้าน


มองดูตัวเลขระยะทางที่ปั่นมา ปรากฏเลข 2 กิโลเมตรกับอีกไม่กี่สิบเมตร ลองคำนวณว่าระยะทางทั้งหมด 11 กิโลเมตร ตอนนี้ปั่นไป 2 ก็เหลือแค่ 9 กิโลเมตร ถ้าผมปั่น 2 กิโลเมตรแล้วพักหนึ่งครั้ง แค่ไม่กี่อึดใจก็น่าจะไปถึง คิดได้อย่างนั้นผมเดินไปที่จักรยานคันน้อยแล้วเริ่มภารกิจพิชิตดอยสุเทพต่อไป


ฮึบ...ฮึบ... แต่ละจังหวะที่ย่ำลงไปไม่ง่ายเลย แต่ครั้งนี้ผมควบคุมจังหวะหายใจดีขึ้น กำหนดรอบขาได้เหมาะสม แม้จะค่อยๆ กระดึ้บไปเหมือนหอยทาก แต่อย่างน้อยทุกจังหวะก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้า


เป็นไปตามแผน ผมปั่นไปได้รอบละ 2 กิโลเมตรแล้วพัก ทุกอย่างน่าจะดี แต่แดดที่ร้อนขึ้นกับปริมาณน้ำดื่มที่พกไปใกล้หมด เหมือนสถานการณ์จะเลวร้าย ทว่าสิ่งที่ไม่หมดคือแรงใจ บอกตามตรงว่าไม่รู้เลยว่าระหว่างทางขึ้นดอยสุเทพมีอะไรขายหรือเปล่า เพราะครั้งล่าสุดที่นั่งรถขึ้นดอยนี้ก็เมื่อสมัยเรียนประถม (นานโข) เส้นทางที่เหลือผมต้องพึ่งดวงแล้ว


จนถึงครึ่งทาง ปรากฏว่ามีจุดชมวิวจ้า และที่สำคัญมีน้ำขายด้วยจ้า คราวนี้แหละครับ นั่งพักดื่มน้ำจนฉ่ำใจ และสบายตาด้วยวิวเมืองเชียงใหม่มุมสูงจากจุดชมวิวนี้


หายเหนื่อยแล้วไปต่อ พอรู้ว่ามาได้ครึ่งทาง เหมือนมีพลังงานบางอย่างช่วยขับเคลื่อนให้ปั่นขึ้นไปได้อย่างยิ้มได้แม้จะเหนื่อยมาก จนกระทั่งถึงประมาณกิโลเมตรที่ 6-7 ผมจอดพักครั้งสุดท้าย ไม่ใช่ว่าฟิตมาก แต่เพราะรู้สึกว่าอีกเดี๋ยวก็ถึง และรู้มาว่าช่วงกิโลเมตรสุดท้ายนั้นชันสุดขีด ถ้าผมบ้าจี้ไปพักตามแผนกิโลเมตรสุดท้ายจะกลายเป็นเริ่มต้นด้วยทางชัน ไม่มีแรงส่งจากทางราบ (ซึ่งก็ไม่ค่อยราบ)


น่าประหลาดใจมากที่ยิ่งปั่นสูงและชันผมยิ่งเหนื่อยน้อยลง แม้จะต้องก้มหน้าก้มตาปั่นโดยไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์สองข้างทาง แต่หัวใจกลับชุ่มชื้นขึ้น จะเรียกว่าอุ่นใจก็คงไม่ผิด ระยะทางที่เหลือผมจึงปั่นขึ้นอย่างค่อนข้างสบายใจ...แต่ไม่สบายขา


จนถึงจุดที่โหดที่สุดตามคำร่ำลือ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เอาเป็นว่าผมต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อกดไม่ให้รถยกล้อ ปั่นอยู่ท่านั้นอยู่นาน อันที่จริงแค่จอดแล้วเข็นขึ้นไปก็อาจง่ายกว่าทว่าตั้งใจแล้วว่าจะไม่ลงเหยียบพื้นจนกว่าจะผ่านจุดโหดนี้ไปได้


ตอนนั้นเหมือนหนังชีวิตเรื่องหนึ่ง มีทุกความรู้สึกวิ่งพล่านในหัว ทั้งเหนื่อย ท้อ หดหู่ ตั้งคำถาม สนุก สู้ ฯลฯ แต่ไม่ทันที่จะได้ข้อสรุป ผมก็ปั่นมาจนถึงที่ที่มีรถจอดเยอะๆ มีคนเต็มไปหมด และมีอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยองค์ใหญ่ จึงโทรไปถามเพื่อนว่าตอนนี้ผมถึงไหนแล้ว


ปลายสายตอบกลับมาว่า “นั่นแหละดอยสุเทพ แต่ถ้าไปพระธาตุต้องเดินขึ้นไปอีก”


ผมวางสายแล้วยิ้มในใจ นี่เราปั่นจักรยานที่หลายคนบอกว่าไม่เหมาะมาจนถึงดอยสุเทพแล้ว ถ้ามีที่จอดจักรยานปลอดภัยคงได้เดินขึ้นไปกราบพระธาตุข้างบน แต่แค่นี้ก็สุขใจแล้ว


...ส่วนขาลงที่ความเร็ว 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เสียวไส้จนต้องกำแฮนด์แน่นเลยทีเดียว