โบรกฯคาดหุ้นไทยอาจร่วงแตะ1,200จุด

โบรกฯคาดหุ้นไทยอาจร่วงแตะ1,200จุด

นักวิเคราะห์ เตือนหุ้นไทยมีโอกาสร่วงแตะ 1,200 จุด ในช่วง 3 เดือนนี้ ก่อนฟื้นตัวช่วงปลายไตรมาส 4 ชี้เป็นโอกาสซื้อหุ้นเก็บ

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงได้อีก ถึงระดับ 1,200 จุด หรืออาจต่ำกว่าเล็กน้อยในระหว่างที่รอความชัดเจนของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ในเดือนธันวาคมนี้ โดยปัจจัยกดดันการลงทุนมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย และ เศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นยังได้รับผลบวกทางจิตวิทยาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งจะเห็นผลต่อเศรษฐกิจในช่วงปลายไตรมาส1/2559 โดย บล.บัวหลวง คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยในปลายปีนี้จะอยู่ที่ 1,470 จุด หลังจากที่เฟดมีความชัดเจนในการขึ้นดอกเบี้ย และภาวะเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว

ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลงก่อนจะฟื้นตัวในช่วงปลายไตรมาส 4 ปีนี้ โดยตามสถิติ 6 ปีย้อนหลัง ดัชนีสูงสุดและต่ำสุด มีกรอบประมาณร้อยละ 20-25 ซึ่งหุ้นไทยเคยต่ำสุดในปีนี้ที่ 1,292 จุด หรือปรับลดลงไปร้อยละ 20 ดังนั้น ยังมีโอกาสที่ดัชนีอาจจะลงต่ออีกร้อยละ 5 ได้ หรือประมาณ 1,200 จุด ดังนั้น บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จึงได้ปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้จาก 1,650 จุด เหลือ 1,450จุดในปลายปีนี้ และลดอัตราการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียนเหลือเติบโตร้อยละ 20 จากร้อยละ 30 ส่วนในปี 2559 กำไรบริษัทจดทะเบียนจะโตร้อยละ 13 และคงเป้าหมายดัชนี 12 เดือนข้างหน้า ที่ระดับ 1,650 จุด เนื่องจากความชัดเจนการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เศรษฐกิจไทยและทั่วโลกจะปรับตัวดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรม โดยยังแนะนำหุ้นกลุ่มก่อสร้าง และกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก

ขณะที่นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บล. กสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน นี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนสูง เพื่อรอความชัดเจนเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ เฟด กรอบการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยระหว่าง 1,350-1,400 จุด แต่เชื่อว่าเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัว เช่นเดียวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวเป็นร้อยละ 3.2 ในปี 2559 จากที่ปีนี้ขยายตัวได้ร้อยละ 2-3 โดยหุ้นที่น่าลงทุนคือกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันราคายังถูก คาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวในลำดับต้นๆ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และกลุ่มก่อสร้าง ซึ่งได้รับอานิสงส์จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐในปีหน้า