SAMTEL - ซื้อ

SAMTEL - ซื้อ

มูลค่างานใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2558 จนถึงปี 2559

ประเด็นการลงทุน

เราคาดมูลค่างานโครงการใหม่ที่จะเซ็นของทั้ง SAMTEL TEDA และ OTO มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/58 ไปจนถึงปี 2559 เนื่องจากการเปิดประมูลงานโครงการของภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐก่อนสิ้นเดือนก.ย. ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดปีงบประมาณของภาครัฐ และนั่นย่อมหมายถึงผลกระทบทางบวกที่จะมีต่อการฟื้นตัวของกำไรสุทธิของ SAMTEL TEDA OTO และ SAMART (ในฐานะบริษัทแม่) ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/58 ไปจนถึงปี 2559 เช่นกัน เราเชื่อว่าราคาหุ้นของ SAMART ณ ปัจจุบันจะกลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่งอีกครั้งเนื่องจากการคาดการณ์กำไรสุทธิที่จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2559 ถ้าอ้างอิงจากอัตราส่วน PER สูงสุดที่ผ่านมาที่ 19.87 เท่า (หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ย PER ระยะยาวเท่ากับ +1.2SD) ในช่วงกลางปี 2556 ก่อนที่จะแตะสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 31.9 เท่าในช่วงเดือนม.ค. 2558 (หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ย PER ระยะยาวเท่ากับ +2.8SD เนื่องจากประเด็นข่าวเรื่องโรงไฟฟ้าที่กัมพูชา) เราประเมินว่าราคาเป้าหมายถ้าอ้างอิงด้วยวิธีอัตราส่วน PER จะอยู่ที่ 25.50 บาท (ณ ปลายปี 2558) และ 29.40 บาท (ณ ปลายปี 2559) ภายใต้สมมติฐานที่ไม่มีประเด็นข่าวความคืบหน้าของโรงไฟฟ้ากัมพูชาแต่อย่างใด เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ เนื่องจากราคาหุ้น ณ ปัจจุบันที่ยังคงถูก และการฟื้นตัวของผลประกอบการในปี 2559 (จากผลประกอบการของ SAMTEL และ Samart U-Trans)

คาดความคืบหน้าของสองโครงการใหญ่ของ SAMTEL ในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.

เราคาดว่า SAMTEL มีแนวโน้มที่จะทำการเซ็นสัญญากับกรมที่ดินสำหรับงานโครงการศูนย์ข้อมูลที่ดินและแผนที่แห่งชาติ (E-Title Deed) เฟสสองมูลค่า 800 ล้านบาทในช่วงสิ้นเดือนก.ย. ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้จากงานโครงการนี้จำนวน 250 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 และที่เหลือในปี 2559 นอกจากนี้เรายังคาดว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีแนวโน้มที่จะเปิดประมูลงานโครงการวิทยุสื่อสารระบบดิจิตอลแอ็ปโก้เฟสแรกมูลค่า 3.3 พันล้านบาทในเดือนก.ย.นี้เช่นกัน และคาดว่าจะประกาศรายชื่อผู้ชนะภายในเดือนก.ย.หรือเดือนต.ค. เราประเมินว่า SAMTEL มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ชนะการประมูล ซึ่งจะส่งผลให้ทำการรับรู้รายได้จากงานโครงการนี้จำนวน 1.1 พันล้านบาทเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 และที่เหลือในปี 2559 เราเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นของการเซ็นสัญญางานใหม่ที่เพิ่มขึ้นของ SAMTEL ตั้งแต่ไตรมาส 3/58 เป็นต้นไป เริ่มจากการเซ็นสัญญางานโครงการติดตั้งระบบคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า (เอพีพีเอส) ให้กับบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มูลค่า 2.9 พันล้านบาทในเดือนก.ค. ตามมาด้วยการเซ็นสัญญางานโครงการติดตั้งระบบอ่านมิเตอร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอเอ็มอาร์) เฟส 2 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมูลค่า 228 ล้านบาทในเดือนส.ค. และเนื่องจากการเซ็นสัญญามูลค่างานโครงการขนาดใหญ่อีก 2 โครงการได้แก่ งาน

โครงการเอพีพีเอสและงานโครงการติดตั้งระบบวิทยุสื่อสารดิจิตอลแอ็ปโก้ เราจึงคาดว่ามูลค่างานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (backlog) ของ SAMTEL มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดมาอยู่ที่ 1.15 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนก.ย. (เพิ่มขึ้น 91% QoQ) และเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 (เพิ่มขึ้น 45% YoY)

โอกาสชนะประมูลของ TEDA สำหรับมูลค่างานโครงการที่เปิดประมูลอีก 9 พันล้านบาท

เราเชื่อว่า TEDA จะเป็นตัวผลักดันผลการดำเนินงานของ SAMART ให้เติบโตแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 นอกเหนือจาก SAMTEL ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ผลักดันผลการดำเนินงานของ SAMART ในช่วงครึ่งปีหลัง TEDA ได้ทำการเซ็นสัญญางานโครงการใหม่ทั้งหมด 3 โครงการมูลค่ารวม 1.2 พันล้านบาทในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค. 2558 สำหรับการติดตั้งและก่อสร้างสถานีโรงไฟฟ้าย่อย และการปรับปรุงโครงสร้างสถานีโรงไฟฟ้าย่อยให้กับกฟผ. IRPC และกฟน. ส่งผลให้มูลค่างานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (backlog) อยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2/58 เราคาดรายได้รวมของ TEDA สำหรับปี 2558 ที่ 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% YoY ซึ่งจะมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มของการเซ็นสัญญางานโครงการใหม่อีก 2-3 พันล้านบาทของทั้งกลุ่ม TEDA ในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 จากการเปิดประมูลงานของทั้งกฟผ. กฟน. และกฟภ. รวมกันทั้งสิ้น 9 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง เราประเมินว่า TEDA จะมีอัพไซด์อย่างมากในอนาคตจากงานโครงการภาครัฐที่จะเปลี่ยนการติดตั้งสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลจากที่อยู่ในอากาศลงใต้ดินทั้งหมด ซึ่งมูลค่างานโครงการรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 1.43 แสนล้านบาท

คาดมูลค่างานใหม่ที่เซ็นสัญญาของ OTO เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเดือนก.ย.

OTO ได้ทำการเซ็นสัญญางานคอลล์เซ็นเตอร์ซึ่งต่อสัญญาออกไปอีก 3 ปีให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมามูลค่า 130 ล้านบาท เราคาดว่า OTO จะทำการเซ็นสัญญางานคอลล์เซ็นเตอร์ซึ่งเป็นงานใหญ่อีกหนึ่งงานมูลค่า 200 ล้านบาทกับกฟภ.ภายในเดือนก.ย.เช่นกัน เราคาดมูลค่าของงานใหม่ที่เซ็นสัญญาของ OTO ที่ 350-400 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 ซึ่งจะมาจากสัญญาใหม่ของรฟท. กฟภ. และทีโอที เราคาดว่าผลประกอบการของ OTO มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 โดยเราคาดกำไรสุทธิของ OTO ที่ 45 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 เทียบกับกำไรสุทธิที่ 35 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2558