9 วัน รถ 1 คัน ในฝรั่งเศส

9 วัน รถ 1 คัน ในฝรั่งเศส

“นครแห่งศิลปะ ความงาม และความโรแมนติก”

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ เมืองหลวงอย่าง “ปารีส” และแน่นอนเมื่อเรามีเวลาก็เลยอยากจะลองพิสูจน์ให้รู้ว่า ฝรั่งเศสมีดีอะไรถึงสามารถดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกได้มากขนาดนี้


“9 วัน” เก็บฝันทุกแลนด์มาร์ค คงจะยาก แต่เราจะพยายามให้ถึงที่สุด เนื่องจากเลือกแล้วที่จะเดินทางด้วยการขับรถกันเอง ซึ่งเป็นการเดินทางแบบเรื่อยๆ แต่ถ้าคนขับเหนื่อยก็ต้องพัก เพราะที่นี่กฎหมายเรื่องการจราจรเคร่งครัดและค่าปรับโหดหนพอสมควร และต้องทำใจเรื่องเวลาของการเดินทาง เพราะอาจจะไม่เร็วเท่ากับรถไฟหรือเครื่องบินที่ทันใจกว่าเยอะ


แผนของเราคือ ออกสตาร์ทไปที่เมืองฝั่งขวาสุดของฝรั่งเศสเพื่อชมสถาปัตยกรรมกว่า700 ปี แล้วล่องใต้ไปชมของดีที่โพรวองซ์ เสร็จแล้วก็หยิบกล้องมาจบที่มหานครแห่งแฟชั่น

วันที่ 1 บึ่งไป STRASBOURG


ลงเครื่องที่ท่าอากาศยาน นานาชาติปารีส-ชาร์ล เดอ โกล ก้าวแรกที่เหยียบ ปารีส ยังไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศกันเลยต้องรีบกันแล้ว รับกระเป๋าเสร็จเราก็แบ่ง 2 คนไปเตรียมเสบียง และอีก 2 คนต้องรีบไปรับรถคันที่จองไว้ ได้กุญแจรถมาอยู่ในมือเรียบร้อย นั่งศึกษาเส้นทางและมุ่งหน้าไป สตราสบูร์ก เหยียบกันยาว491 กิโลเมตร ประมาณ 5ชั่วโมง ทางด่วนของที่นี่ขับได้ แค่ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีตรวจจับความเร็วตลอดทาง อย่าเผลอเหยียบเกินไปล่ะ

เดินดูของ วันที่ 2 ณ STRASBOURG


เมืองมรดกโลกด้านมนุษยชาติขององค์การยูเนสโกอย่างสตราสบูร์กเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นอัลซาสของฝรั่งเศสที่ยังมีสถาปัตยกรรมสมัยโบราณเป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ให้ได้ชมกันอยู่ การเดินทางในเมืองสะดวกเพราะมีรถรางบริการโดยรอบ แต่ถ้าอยากจะลงเรือชมรอบเมืองก็ได้


เราเดินไปเรื่อยๆ ผ่านเขตเมืองบ้านโบราณที่สร้างด้วยปูนและไม้ผสมกันอย่างลงตัว บ้านแบบนี้เรียกว่า “Maison a colombage” รวมถึงบ้านไม้โบราณสไตล์อัลซาสเรียงรายอยู่ริมน้ำ และถ้าเราก้มลงไปมองน้ำจะเห็นภาพเงาสะท้อนลวดลายบ้านและบรรยากาศรอบๆเหมือนกับอยู่ในเทพนิยายเลยทีเดียว ส่วนไฮไลท์ที่สำคัญของเมืองที่มีน้ำล้อมรอบแบบนี้ก็คือการสัญจรทางน้ำ


มีนักท่องเที่ยวมาหยุดรอชมการแล่นเรือผ่านระดับน้ำที่ไม่เท่ากันบริเวณประตูน้ำ ทุกคนต่างส่งเสียงทักทายกันและลุ้นวิธีการปรับระดับน้ำโดยปิดประตูแรกแล้วเปิดอีกประตู รอให้ระดับน้ำเท่ากัน เรือจึงสามารถผ่านไปได้ ใช้เวลาอยู่ประมาณ 5 นาที


อีกหนึ่งจุดหมายสำคัญนั่นคือ Cathedrale Notre-Dame-de-Strasbourg เดินเพลินๆ มองยอดของวิหารมาเรื่อยๆ ก็เจอแล้ว เพราะยอดของวิหารสูงเด่นตระการตามากจริงๆ มหาวิหารแห่งนี้ มีเอกลักษณ์ตรงที่มีหอคอยหอเดียว สลักด้วยหินทรายสีชมพูงดงาม และเคยได้รับการบันทึกเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลกด้วยความสูงถึง 142 เมตร แต่ในปัจจุบันอยู่ที่อันดับที่ 6 ของโลกและยังเป็นวิหารที่สูงที่สุดที่สร้างในยุคกลางที่ยังคงสภาพดีอยู่ในปัจจุบัน


เดินครบรอบเมืองแล้วเราต้องเดินทางกันต่อเป้าหมายของวันนี้ คือ เมือง Lyon แต่ระหว่างทางก็มีอีกหนึ่งเมืองที่พลาดไม่ได้ นั่นก็คือ เมือง Colmar เมืองที่สุดแสนจะโรแมนติกจนได้รับการขนานนามว่าเป็น little Venice

พอถึงที่หมายก็คลายความสงสัย เพราะรูปแบบบ้านเรือน สายน้ำเล็กๆ ที่พาดผ่าน เรือพาย หรือการนั่งจิบไวน์พร้อมฟังการบรรเลงเพลงแจ๊ส ทำเอาเคลิ้มไปตามๆ กัน


ย่านเมืองเก่าที่นี่มีซอกซอยเล็กๆ ตัดไปมาเยอะพอสมควร ถ้าใครอยากประหยัดเวลาสามารถขึ้นรถชมเมืองก่อนแล้วค่อยมาเลือกเดินชมไปเรื่อยๆ ก็ได้ ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ตลอดเส้นทางเราจะเห็นบ้านเรือนสีสันสดใสที่ยังคงลักษณะดั้งเดิมไว้ ที่เพิ่มเติมคงเป็นดอกไม้ที่แข่งกันบานต้อนรับนักท่องเที่ยวสีสดตัดกับผืนน้ำสีเขียว สวยมากเลยทีเดียว ใครมีโอกาสแวะมาคงต้องมนต์กับเมืองเล็กๆ แห่งนี้แน่นอน



วันที่ 3 ชาวสยามบุก LYON


วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นถึงแม้จะเป็นซัมเมอร์ อุณหภูมิวันนี้ประมาณ 20 องศาฯ ถือว่าเย็นสำหรับคนเมืองร้อน(มาก)อย่างเรา Lyon เป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากปารีส อยู่ห่างจากปารีส 470 กิโลเมตร ก่อนอื่นขอเดินสำรวจรอบๆ เมืองก่อน เริ่มกันที่ริมน้ำ Rhone มองไปตามสายน้ำที่ทอดยาว สะพานหลากสีสันหลายรูปแบบเรียงตัวตามแนวขวาง เดินข้ามไปข้ามมาถ่ายรูปจนเหนื่อย


แดดเริ่มออก ฟ้าเริ่มเปิด เราก็เดินมาถึงใจกลางเมืองที่ถูกยกให้เป็นมรดกโลก นอกจากจะมีแลนด์มาร์คอย่างน้ำพุTheFontaine Bartholdiและ Hotel de Ville (อาคารศาลากลาง) แล้ว บริเวณใกล้เคียงกันยังเป็นสถานที่ตั้งของ Opera House ด้วย


และอีกหนึ่งสถานที่ที่เปรียบเสมือนเป้าหมายของนักเดินทางที่มาเยือนเมืองนี้ นั่นก็คือ Basilique Notre Dame de Fourviere มองจากด้านล่างขึ้นไปถ้าเดินก็คงจะเหนื่อย เราขอขับรถขึ้นด้านบนเลยแล้วกัน


ด้านบนเป็นมหาวิหารเก่าแก่ ตัวอาคารถูกสร้างขึ้นแบบสถาปัตยกรรมผสมผสาน 2 สไตล์ คือ แบบโรมันและไบเซนไทน์ ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1998ถ้ามองลงมาจะเห็นบรรยากาศทั่วทั้งเมือง และที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ก็คือสถาปัตยกรรมหลังคาสีแดงส้มสดใส มีตึกที่สูงโดดเด่นขึ้นมาเพียงแค่ 4 ตึกเท่านั้นเอง


เสร็จแล้วออกเดินทางต่อ เป้าหมายของวันนี้ลงใต้ไปปักหลักที่ Aix-en-Provence ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร แต่ระหว่างทางขอแวะชม Place du Palais – Avignon พระราชวังพระสันตะปาปาแห่งอาวีญง ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ.1995 และมีเนื้อที่ใช้สอยถึง 15,000 ตารางเมตรทำให้ที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างแบบกอธิคที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป


เปิดดูข้อมูลผ่านๆ ก็คิดว่าคงไม่ต่างจากพระราชวังทั่วไป แต่พอได้เห็นของจริงแล้ว ต้องร้อง โอ้โห!! ใหญ่โตมโหฬาร อลังการงานสร้างมาก
เราสามารถเดินได้ทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงด้านบนด้วย(จุดนี้ลมแรงมาก) ซึ่งจะมองเห็นถึง Le Pont d'Avignon สะพานขาดที่สร้างขึ้น เมื่อ ค.ศ. 1177 แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 1 ใน 4 ส่วนเท่านั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปถ่ายรูปบนสะพานได้แต่มีค่าใช้จ่าย


วันที่ 4 รีบปรี่ไป PROVENCE


มุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งท้องทะเลทางตอนใต้สุดของฝรั่งเศส ไหนๆ มาทางนี้แล้วขอเลยไปอีกนิดแล้วกัน เพราะเราสามารถขับรถข้ามมาที่ Monaco ได้เลยแบบไม่ยุ่งยาก มาถึงแล้วต้องไม่พลาดกับเมืองของนักเสี่ยงโชคอย่าง Monte-Carlo ถ้าใครไม่ชอบเสี่ยงโชคก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยได้เห็นภายนอกของ Le casino de Monte Carlo คาสิโนที่สร้างขึ้นด้วยความหรูหราประดุจโลกในจินตนาการ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Baroqueก็คุ้มแล้ว
นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมสินค้าแบรนด์เนมและถูกใช้เป็นสนามแข่ง F1 ด้วย แต่ถ้าเดินเลยช่วงตึกออกมาเพียงนิดก็จะได้เห็นวิวที่สวยงามของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีฟ้าครามตัดกับสีขาวของเรือสุดหรูนับพันลำของเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งจอดเรียงรายอยู่อย่างสวยงาม


เราขับรถย้อนขึ้นมาฝั่งของฝรั่งเศสอีกประมาณ 20 กิโลเมตร ก็ถึงสถานที่ตากอากาศระดับโลกสุดฮิตริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอย่างเมือง NICE เมืองต้องมนต์คนที่มาแล้วไม่ค่อยจะอยากกลับ เพราะอยู่ที่นี่แล้วเราจะลืมวันเวลาไปเลย


เริ่มต้นด้วยการเดินสำรวจเมือง ต้องไม่พลาดที่จะแชะภาพที่ จัตุรัสมาซเซน่า (Place Massena) จัตุรัสที่มีรูปปั้นหุ่นล่ำและน้ำพุอพอลโล ตั้งตระหง่านโดดเด่นขึ้นมาจากตึกสีสันสวยงาม และถ้าเราหันหลังให้กับจัตุรัสจะเห็นตึกสีลูกกวาดและมีช่องเล็กๆ ที่สามารถมองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา และช่องนี้เองก็เป็นเส้นทางสัญจรของรถรางรอบเมืองนั้นเอง


ถ้าเราหันกลับมาทางขวาเพียงนิดเดียวจะพบกับลานน้ำพุมีฉากหลังเป็นบ้านเรือนที่อยู่บนทิวเขา ด้วยลานน้ำพุที่มีน้ำนองตลอดเวลาทำให้เราเห็นภาพสะท้อนเสมือนมี 2 โลกคู่ขนานสวยงามมากจริงๆ


ระหว่างทางเราผ่าน ตลาดกุร์ ซาเลย่า (Cours Saleya) ที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า ตลาดแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารทะเลที่เสิร์ฟกันแบบสดๆ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา ตัวโตมากๆ แค่พวกเราเดินผ่านพนักงานก็ทักเป็นภาษาไทยทันที (เอ๊ะ! เขารู้ได้อย่างไรนะ) บางร้านก็มีเมนูเป็นภาษาไทยด้วย สุดยอดไปเลย


เดินหลุดจากตลาดมาก็พบทะเล สายลม และแสงแดด ชายหาดหิน น้ำสีฟ้า ท้องฟ้าสีชมพู เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง มองนาฬิกาอีกที 22.00 น. แล้ว เหลืออีก 1 เมืองที่อยากจะไปเดินเหยียบพรมแดงเป็นเซเลบฯกับเขาสักครั้ง...แต่สุดท้ายต้องบ๊ายบายเมือง คานส์(Cannes)แล้วต้องรีบเหยียบคันเร่งกลับมาพักที่ Aix-en-Provence

วันที่ 5 ได้เวลาลั้นลาเข้าเมือง


การเดินทางด้วยรถอาจจะสะดวก อยากไปไหน จอดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ปัญหาคือเมืองที่คนพลุกพล่านอย่างปารีสค่าที่จอดรถแพงมาก ทำให้เราต้องตัดสินใจกันว่าไปรอบนอกของปารีส และไม่ไกลมาก ขับรถแค่ประมาณ 40 นาทีก็ถึงใจกลางปารีสแล้ว ฉะนั้นวันนี้ต้องขับรถไกลพอสมควร ระยะทางประมาณ 680 กิโลเมตร แต่สองข้างทางทำให้เราไม่เบื่อที่จะนั่งรถยาวๆ เพราะได้เห็นถึงวิถีชีวิต ชาวชนบทในทุ่งกว้างเป็นช่วงๆ กว่าจะถึงจุดหมายอันเป็นที่พักก็ 19.00 น. แล้ว แต่อย่าลืมว่าช่วงนี้พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าประมาณ 22.00 น. เลยมีเวลาขับรถชมเมืองนี้ทำให้เราได้เห็นว่าเป็นชานเมืองจริงๆเปรียบเสมือน ปริมณฑลของบ้านเรา ผู้คนไม่เร่งรีบ อากาศดี บ้านเรือนหลังคาสีน้ำตาลสลับส้มอยู่ตามสันเขามีและแม่น้ำสายใหญ่ ขับไปเรื่อยๆก็สะดุดตากับปราสาท Chateau de Nemours ที่ตั้งเด่นอยู่ริมน้ำ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของฝรั่งเศสด้วย อยากจะเดินเข้าไปชมแต่สถานที่เหมือนจะปิดเพราะเงียบและไม่มีคนแล้ว อดเข้า …น่าเสียดาย เราจึงถอยออกมาอยู่บริเวณแม่น้ำ Loing


จุดนี้เป็นเหมือนจุดพักผ่อนย่อมๆ ของเมืองนี้ มีผู้คนมานั่งตกปลาริมน้ำเสมือนสภากาแฟบ้านเรานั้นเอง และถ้ายืมมองจากสะพาข้ามแม่น้ำจะเห็นว่า 2 ฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ถึงจะมีบ้านเรือนอยู่เยอะแต่ก็ดูลงตัว เมืองทางผ่านแบบนี้เอาใจไปเต็มๆเลย

วันที่ 6 พกสตางค์ไปชอปปิง


ผจญภัยมาเยอะแล้ววันนี้ขอเอาใจขาช้อปหน่อยแล้วกัน ตกลงกันได้ก็ออกเดินทางไปเดินชมของกันที่ la vallee village ที่นี่มีแบรนด์ดังๆ ทั่วโลกมากกว่า 80 ยี่ห้อ และแน่นอนว่าที่นี่ราคาต้องถูกกว่าซื้อตามหน้าร้านทั่วไป เพราะราคาสินค้าที่นี่ลดราคาตั้งแต่33 – 60 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้น แต่สำหรับนักท่องเที่ยวขอแนะนำให้ตรงไปที่จุดประชาสัมพันธ์ เพราะจะได้คูปองส่วนลด 10 เปอร์เซ็นต์ อีกคนละ 6 ใบ แต่การใช้สิทธิต้องตามเงื่อนไขของแต่ละร้าน


จุใจกันแล้วก็ได้เวลาตุลุยปารีส วุ่นวายสมคำร่ำลือ การจราจรหนาแน่นพอสมควร เลยขอแวะพักรถพักคนที่สวนสาธารณะ Au Parc de Sceaux ก่อน สวนนี้ร่มรื่นและใหญ่มาก กินพื้นที่ 2 ฝั่งของถนนยาวไปจนถึงแม่น้ำแซน มีทั้งต้นไม้ยืนต้นและสวนไม้ดอกที่โรแมนติกมาก และเราก็เริ่มสำผัสได้ถึงคำนิยามของเมืองนี้


ถ้าเราข้ามสะพานไปอีกฝั่งของแม่น้ำแซนจะต้องตื่นตะลึงกับตึกสูงใหญ่ที่ดูเหมือนอยู่คนละโลก ซึมซับบรรยากาศจนสมใจก็ได้เวลา Road in Paris แล้ว วันนี้ขอปลอมตัวเป็นประชาชนคนปารีสหน่อยแล้วกัน


แผนของเราคือขับรถผ่าน Landmark in Paris ถือเป็นการสำรวจก่อนที่จะเดินเท้าท่องเที่ยวในวันรุ่งขึ้น และมุมมองที่ได้ก็แตกต่างจากที่คิดไว้จริงๆ พระอาทิตย์ตกกลางถนนลอดซุ้มประตูชัยพอดี ได้เห็นหอไอเฟลแบบไม่เต็ม ได้เห็นมหาวิหารน็อทร์ดามแค่ด้านข้าง เห็นไหมว่าเป็นมุมมองแบบไม่ซ้ำใครจริงๆ

วันที่ 7 เดินให้เข็ดเป็นเป็ดทั่วปารีส


ได้เวลาคืนราชรถแล้ว หลังจากนั้นก็ถือแผนที่คนละใบ เดินผ่านร้านค้ามากมายที่ต้องอดใจไม่ให้เลี้ยวเข้าไปดู แต่ที่สังเกตได้ตลอดแนวทางเดินก็คือร้านอาหารที่มักจะอยู่บริเวณหัวมุมถนน และทางเดินช่างร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ถึงจะมีแดดก็ไม่ได้รู้สึกร้อนสักเท่าไร เดินเพลินๆ ก็ถึง Cathedrale Notre-Dame de Paris (มหาวิหารน็อทร์ดาม)


ที่แห่งนี้เป็นโบสถ์แบบโกธิคสร้างขึ้นทับโบสถ์คริสเตียนแห่งแรก ในปี ค.ศ.1163 และใช้เวลาต่อเติมอีกหลายร้อยปี ส่วนเอกลักษณ์หอคอยคู่ก่อสร้างในราวปี ค.ศ.1200 รวมแล้วเสร็จทั้งโบสถ์ในปี ค.ศ.1334 แหงนคอมองยอดหอคอยจนเมื่อยแล้วก็ลองก้มหน้าลงมาดูที่พื้นบ้าง เราจะเห็นจุดที่เรียกว่า Point Zero หรือสะดือปารีส ที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของถนนทุกสาย หรือกล่าวได้ว่าที่แห่งนี้คือใจกลางของปารีส และความลับของสะดือปารีสอยู่ที่การกล่าวขานมานานนมว่า ถ้าอธิษฐานให้ได้กลับมาที่ปารีสอีกก็จะได้กลับมาจริงๆ อย่ารอช้า ประสานมือหลับตาในทันใด (แล้วเจอกันอีกนะจ๊ะปารีสจ๋า)


วันนี้อากาศดีฟ้าใส เมฆสวย สำหรับคนที่อยากชมวิวเมืองบนที่สูงสามารถต่อแถวที่ยาวเหยียดขึ้นไปชมด้านบนได้ เดินชมจนครบแล้วก็ออกเดินเท้าต่อไปทางเลียบแม่น้ำแซน ตลอดแนวแม่น้ำสายนี้มีของที่ระลึกขาย เช่น พวงกุญแจหอไอเฟล โปสการ์ด รูปภาพวาดในอดีตของปารีส


เดินมองเพลินๆ ก็สะดุดตากับสะพานคู่รักในตำนาน สะพานปงเดซาร์ (Pont Des Arts) เป็นสะพานเหล็กแห่งแรกที่สร้างขึ้นในปารีส และยังเป็นสถานที่ที่คู่รักทั่วโลกอยากจะมาคล้องกุญแจสลักชื่อและโยนแม่กุญแจทิ้งไปในแม่น้ำแซนอีกด้วย


แต่ด้วยอายุของสะพานที่มีมายาวนานและน้ำหนักของแม่กุญแจที่เพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ปัจจุบันได้ทำการรื้อถอนไปแล้วและห้ามนำมาคล้องอีกเพราะบดบังทัศนียภาพที่สวยงาม แต่ถ้าใครอยากไปถ่ายภาพกับสะพานและกุญแจในตำนานเขาก็ยังเหลือไว้ให้เราสามารถเก็บภาพความประทับใจได้อยู่บ้าง


แน่นอนว่าเมื่อเราเดินมาถึงสะพานนี้ก็ต้องเดินข้ามฝั่งไปเยือนดินแดนแห่งศิลปะที่ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musee du Louvre) เดิน 3 วันยังไม่ครบสมคำร่ำลือ เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงเก่าแก่และใหญ่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง มาที่นี่ที่เดียวก็แทบจะครบทุกอย่าง คนรักศิลปะแทบอยากจะกางเต็นท์นอนอยู่ด้านในเลยทีเดียว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เสพศิลปะเป็นอาจิณอย่างเราก็รีบดิ่งไปที่ภาพวาดหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มปริศนา กับผลงานภาพเขียนสีน้ำมันอันมีชื่อเสียงของเลโอนาโด ดา วินชี นั่นก็คือ โมนาลิซา พอไปถึงแล้วมองไม่เห็นภาพเลยเพราะคนเยอะมาก ต้องเขย่งๆ ทั้งกล้อง ทั้งมือถือ แย่งกันเบียดขึ้นมาเพื่อบันทึกภาพ หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นมาด้านบน ฟ้าเริ่มมืดเราเลยนั่งรอเวลาขอชมพระอาทิตย์ตกไปพร้อมๆ กับพีระมิดน้อยใหญ่ท่ามกลางสถาปัตยกรรมรอมข้างที่ค่อนข้างจะต่างยุคสมัยพอสมควร

วันที่ 8 แดดไม่มี


แย่แล้วๆ นี่มันวันไฮไลต์เลยนะ ฝนตกปรอยๆ ตั้งแต่เช้าเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าที่ฝรั่งเศสจะไม่มีฤดูฝน แต่...ฝนจะตกเมื่อไหร่ก็ได้ คิดซะว่าขอเล่นน้ำฝนที่ปารีสก็แล้วกัน


สถานที่แรกของวันนี้คือย่าน มงมาร์ต (Montmartre) อีกหนึ่งจุดชมวิวปารีสที่ดีที่สุดนั่นคือที่บริเวณลานหน้าวิหารซาแครเกอร์ (La Basilique du Sacre Coeur) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสีขาวตัดกับสนามหญ้าสีเขียวโดดเด่นมาก แต่เมื่อเราเจอกับอุปสรรคคือฝนที่ตกลงมาแบบฟ้ารั่ว เลยตัดสินใจถอยทับกลับไปตั้งหลักที่รถไฟใต้ดิน เรานั่งเมโทรสายสีม่วงไปลง Porte de Clignancourt และเดินต่ออีกนิดจนถึง Paris Flea Market at Porte de Clignancout ตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก


สำหรับใครที่ชื่นชอบของโบราณเก่าเก็บ ทั้งรูปภาพ โซฟา ของตกแต่งบ้าน หนังสือเก่าหายาก หรือกล้องถ่ายรูป และของแปลกๆ มีให้เดินชมกันเพลิดเพลินไปเลย พอสายฝนเริ่มเบาบางลงได้เวลาแวะไปทักทายไอเฟลกันแล้ว


เริ่มที่วิวไกลสุดก่อนเลยกับจุดยอดนิยมที่สามารถเห็นหอไอเฟลได้ทั้งหมดของความสูง 300 เมตร ที่ Esplanade du Trocadero คนค่อนข้างเยอะ จากจุดนี้เราก็เดินชมวิวถ่ายรูปได้ตลอดทางเพราะทางเดินจะเป็นเส้นตรงยาวไปจนถึงตัวหอไอเฟลเลย ที่สังเกตได้คือทุกคนพยายามครีเอทท่าทางเพื่อเป็นส่วนหนึ่งกับหอไอเฟลให้ได้


เราเดินมาจนถึงใจกลางงานศิลปะชิ้นเอกของปารีส ช่างยิ่งใหญ่ โอ่อ่า น่าเกรงขาม สุดจะบรรยาย แต่ธรรมชาติไม่เป็นใจฟ้าครึ้มมาแต่ไกล จึงรีบเปลี่ยนแผนเดินหนีสิ่งมหัศจรรย์นี้ไปก่อน ทำให้เราได้เห็นภาพที่คุ้นตาจากฉากในภาพยนต์ดังอย่าง Inception และยังเป็นที่ถ่ายพรีเวดดิ้งยอดนิยม กับมุมสะพาน Pont De Bir-Hakeim ที่ยังสามารถมองเห็นไอเฟลได้ลงตัว


เราไปชอปปิงที่ถนนที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลก และยังเป็นย่านการค้าที่นักช้อปต้องไม่พลาด นั่นก็คือ ช็องเซลีเซ (Avenue des Champs-Elysees) ที่นักท่องเที่ยวมุ่งหน้ามาหยิบสินค้าจากที่แห่งนี้กลับบ้านเหมือนแจกฟรีกันเลยทีเดียว เดินไปจนสุดทางฝั่งทิศตะวันตกก็จะเจอกับประตูชัยประเทศฝรั่งเศส (Arc de triomphe) ประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และที่แห่งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของ “แนวเส้นตรงทางประวัติศาสตร์” ซึ่งเป็นถนนเส้นตรงที่เราสามารถเดินบนถนนเส้นเดียวจากสวนพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ไปยังชานกรุงปารีสได้เลย


แวะพักจนหายล้า ขอกลับไปดูแสงระยิบระยับที่นางเอกของเมืองนี้เตรียมอำลาเรากันดีกว่า พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้เวลาแสดงโชว์แล้ว ทุกครั้งที่มีไฟระยิบระยับบนหอไอเฟลเสียงคนปรบมือพร้อมส่งเสียงให้กำลังใจราวกับมันมีชีวิต ถึงแม้ว่าจะมีสายฝนโปรยปรายรวมถึงอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครถอย แน่ล่ะ...เราเดินทางข้ามทวีปมาขนาดนี้จะพลาดได้อย่างไร


ทั้งสายตา มุมกล้อง และแสงแฟลชหันไปที่นางเองของเราจนจบการแสดง


คืนนี้คงต้องอำลากันแต่เพียงเท่านี้ ก่อนที่รถฟักทอง อุ้ย..เมโทรจะหมดรอบตอนเที่ยงคืน

วันที่ 9 กลับมาอดข้าวที่ภูมิลำเนา


วันนี้ไม่ต้องรีบร้อน ไม่มีใครกระตือรือร้นหรือตื่นเต้น แต่ต้องทำใจลากกระเป๋ากลับไปใช้ชีวิตในโลกของความจริงที่แสนโหดร้ายกันต่อ


และแน่นอนเมื่อไหร่ที่เรามีเวลาใช้ชีวิตในโลกเสมือนฝัน เราจะออกเดินทางในทันทีฉะนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะการเดินทางที่แสนพิเศษรอเราอยู่