ประธานใหญ่'ดับบลิวดี'ยกไทยประเทศน่าลงทุน

ประธานใหญ่'ดับบลิวดี'ยกไทยประเทศน่าลงทุน

ประธานใหญ่เวสเทิร์น ดิจิตอล ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟเบอร์ 1 โลก บินตรงไทย ย้ำความเชื่อมั่นลงทุนต่อเนื่อง


ประธานใหญ่เวสเทิร์น ดิจิตอล ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟเบอร์ 1 โลก บินตรงไทย ย้ำความเชื่อมั่นลงทุนต่อเนื่อง ไม่หวั่นสถานการณ์บ้านเมืองเชื่อผ่านไปได้ดีเหมือนทุกครั้ง เล็งเปิดแผนลงทุนชัดเจนปีหน้าหลังควบรวม “เอชจีเอสที” สมบูรณ์ ฟากโรงงานฮิตาชิปรับแผนรับมือยอดขายพีซีร่วง โยกไลน์ผลิตฮาร์ดดิสก์ไฮเอ็นด์จากสิงคโปร์มาไทย

นายสตีเฟ่น ดไวด์ มิลลิแกน ประธานและประธานคณะผู้บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทเวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ปอเรชั่น (ดับบลิวดี) กล่าวภายหลังเข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดิเรกคุณากรณ์ชั้นที่สาม ตติยดิเรกคุณาภรณ์ว่า บริษัทมีนโยบายลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เขายังไม่เผยรายละเอียดการลงทุนได้จนกว่าจะถึงปี 2559 หรือหลังจากกระบวนการควบรวมกิจการระหว่างเวสเทิร์น ดิจิตอล กับฮิตาชิ โกลบอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (เอชจีเอสที) ที่คาดว่าใกล้เสร็จสมบูรณ์อีกไม่นานนี้ เพราะเหลือกระบวนการทางกฎหมายในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และซับซ้อน ทำให้จนถึงขณะนี้ ดับบลิวดียังต้องแยกฝ่ายปฏิบัติการกับเอชจีเอสทีก่อน แม้จะรวมเป็นบริษัทเดียวกันแล้ว

ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจที่จะดำเนินธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะไทยยังเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจ แม้จะมีปัจจัยกระทบทั้งการเมือง สภาพเศรษฐกิจที่มีปัญหาทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐ หรือแม้สถานการณ์ระเบิดที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนอย่างแน่นอน

เนื่องจากดับบลิวดีเข้ามาลงทุนในไทยระยะยาวกว่า 18 ปี ทั้งยังได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากรัฐบาลไทยทำให้การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงการที่ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นนโยบายหลักก็เชื่อว่าจะยิ่งส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรม ที่จะได้ประโยชน์จากการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของประเทศด้วย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

“เรารู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ระเบิดที่เพิ่งเกิดขึ้นในไทย แต่ก็ไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัท เพราะไม่ว่าที่ใดในโลกก็ล้วนมีเหตุการณ์ไม่ดีที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เราเป็นห่วงมากคือต้องให้ความมั่นใจกับพนักงาน ซึ่งเราก็ยังเชื่อว่าไทยยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยในการดำเนินชีวิต และเป็นท็อปออฟลิสต์ที่จะลงทุนต่อเนื่อง”

จากปัจจุบันไทยเป็นหนึ่งในสามประเทศที่เป็นฐานผลิตสินค้าของดับบลิวดี ร่วมกับจีนและมาเลเซีย ซึ่งแต่ละประเทศมีจุดแข็งที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะในไทยที่บริษัทมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งมากกับภาครัฐ และหน่วยงานส่งเสริมด้านการลงทุนที่ขณะนี้ได้เจรจาถึงแผนต่างๆ ร่วมกันอยู่
ขณะที่จีนยังมีปัญหาการเพิ่มค่าจ้างแรงงานที่กำลังเป็นแรงกดดันของภาคธุรกิจ

นายมิลลิแกน ยังยอมรับว่าสถานการณ์ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ซึ่งใช้ฮาร์ดดิสก์เป็นส่วนประกอบสำคัญทรุดตัวมากกว่าที่คาด จากที่เชื่อว่าจะหดตัวเป็นตัวเลขหลักเดียว แต่จนถึงขณะนี้มีแนวโน้มว่าปีนี้จะหดตัวเป็นตัวเลขสองหลัก จากการประเมินเศรษฐกิจ 6 เดือนแรกไม่ดี ทั้งยังมีปัจจัยจากค่าเงินดอลลาร์แข็ง และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าค่อนข้างหนัก แต่ก็ส่งผลทั้งแง่บวกและลบต่อบริษัท

เนื่องจากการซื้อพีซีใหม่ลดลง แต่อีกมุมหนึ่งการที่คนจำนวนมากหันไปใช้ดีไวซ์อื่นๆ เช่น สมาร์ทโฟน และแทบเล็ตมากกว่าพีซี หากความต้องการใช้ข้อมูลกลับยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสตลาดใหม่ๆสำหรับผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ที่จะพัฒนาฮาร์ดดิสก์สำหรับการเก็บข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงรองรับเทคโนโลยีคลาวด์ สตอเรจที่แม้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีฮาร์ดดิสก์ แต่ศูนย์ที่บริหารจัดการคลาวด์ก็ยังต้องการฮาร์ดดิสก์สำหรับเก็บข้อมูลในศูนย์ข้อมูลเช่นเดิม

นายคันจิ นาคาโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอชจีเอสที (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ระหว่างนี้โรงงานผลิตฮาร์ดดิสก์เดิมของฮิตาชิที่ปราจีนบุรีได้เริ่มปรับไลน์ผลิตจากการผลิตฮาร์ดดิสก์ระดับล่าง (โลว์เอ็นด์) สำหรับใช้ในพีซีทั่วไปมาเป็น “ฮาร์ดดิกส์ ไฮเอ็นด์” 3.5 นิ้ว ซึ่งเป็นการย้ายไลน์ผลิตจากสิงคโปร์เมื่อราว 2 ปีที่ผ่านมา

ปัจจุบัน สิงคโปร์เหลือเพียงการวิจัยและพัฒนาเท่านั้น เพื่อปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่ความต้องการฮาร์ดดิสก์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปลดลง แต่ความต้องการใช้ในศูนย์ข้อมูลมีมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มการผลิตบางส่วนสำหรับสตอเรจแบบเอสเอสดี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังมีราคาสูง
นอกจากนี้ ปีที่ผ่านมาโรงงานผลิตในปราจีนบุรียังผลิตฮาร์ดดิสก์ความจุสูง 8 เทราไบต์ได้เป็นรายแรกในตลาด ที่จะยิ่งทำให้ตลาดของดับบลิวดีที่แข็งแกร่งในกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป เมื่อรวมกับฮาร์ดดิสก์ของเอชจีเอสทีที่เจาะกลุ่มองค์กรมีตลาดครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันแบรนด์ดับบลิวดีมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเป็นอันดับ 1 แล้วที่ 43.7% (ซีเกท 40.9% และโตชิบา 15.4%)

นายคานาโอระบุว่า สถานการณ์ของโรงงานผลิตฮาร์ดดิสก์ในไทยยังดำเนินไปได้ดีต่อเนื่อง มียอดส่งออกเติบโตขึ้น 8-9% หรือ 3.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2557

ส่วนการจ้างงานก็ยังคงจำนวนเดิมคือราว 8,000 คนสำหรับโรงงานที่ปราจีนบุรี เนื่องจากบริษัทเริ่มมีระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยในการผลิตด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนโรงงานที่จีนจะเน้นการผลิตฮาร์ดดิสก์ระดับโลว์เอ็นด์เป็นหลัก